Wednesday, November 26, 2014

ทฤษฎีลายผิว เขาว่ามันบอกศักยภาพในตัวคนได้


เมื่อสักสามสี่ปีก่อนหน้านี้ ได้มีโอกาสเข้าไปนั่งฟังคล้ายๆงานสัมมนาของศูนย์นี้อยู่ครั้งหนึ่ง ว่าด้วยเรื่องของลายผิววิทยากับการค้นหาศักยภาพในตัวบุคคล ก็เห็นเป็นเรื่องใหม่ที่น่าสนใจดี แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก เหตุผลหลักก็คือ ค่าใช้จ่ายกับสิ่งที่ได้ สำหรับเราแล้วดูจะไม่คุ้มค่าสักเท่าไหร่ เปรียบง่ายๆก็เหมือนกับ พนักงานเงินเดือนสองหมื่นแต่เอาเงินเก็บก้อนโตไปซื้อรถยุโรปอย่างหรูเพียงเพื่ออยากจะรู้แค่ว่ามันนั่งดียังไง ดีจริงอย่างที่คนเขาว่ากันไว้หรือเปล่า

แคปจากแฟ้มรีพอร์ทเก๊าเอง


จนกระทั่งเมื่อวันเกิดที่ผ่านมานี้ โชคดีได้ของขวัญมาจากผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเป็น บัตรกำนัลสำหรับเข้ารับบริการวิเคราะห์ฯที่ศูนย์นี้พอดี ขั้นตอนก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร แต่ต้องโทรไปนัดหมายล่วงหน้า ถ้าได้เป็นบัตรกำนัลมาเจ้าหน้าที่ก็จะถามเลขที่ ก็ตอบไปตามคำถามเขา และก็ได้นัดมาเป็นวันที่ 18 ตุลาคม 2557 เวลา 9.00 น.

รูปจาก oknation ค่ะ
ถึงเวลานัดก็เดินทางไปที่ อาคารปัญจภูมิ ชั้น 4 ถนนสาทร อันเป็นที่ตั้งของศูนย์ ที่นี่มีชากาแฟ น้ำเก๊กฮวย น้ำเปล่า ลูกอมฟรีสำหรับผู้เข้ารับบริการและผู้ติดตาม ถ้าอยากกินก็เดินไปชงเอง 


ภาพจากคุณ prakasitcooking ค่ะ

สิ่งที่ต้องนำไปก็มี บัตรกำนัล กับ บัตรประชาชน ยื่นเคาเตอร์ เสร็จปั๊ป ก็กรอกประวัติส่วนตัวนิดหน่อย ชื่อ-นามสกุล สถานที่ทำงาน เคยมีญาติเข้ารับบริการที่นี่มาก่อนหรือไม่ ใดใด จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะเรียกไปอีกจุดหนึ่ง เพื่อพิมพ์นิ้วมือทั้งสิบนิ้ว ฝ่ามือสองข้าง รวมถึงสันมือส่วนอุ้งมือด้านนอกด้วย แล้วก็ไปล้างมือ และกลับมาเคาเตอร์ทำนัดฟังผลวิเคราะห์อีกที ซึ่งขั้นตอนนี้หากมีญาติที่เคยเข้ารับบริการแล้ว เขาจะแนะนำให้ใช้นักวิเคราะห์คนเดียวกับที่วิเคราะห์ให้ญาติเรา และเราสามารถเลือกนักวิเคราะห์เองได้ด้วย ซึ่งต้องรอคิวนานมาก ข้ามปีกันเลยทีเดียว นี่เลยบอกว่าเอาใครก็ได้ ไม่ต้องวันเสาร์-อาทิตย์ก็ได้ ซึ่งกว่าจะได้ก็นานอยู่ดี 

ลายนิ้วมือจากแฟ้มอาชญากรรมค่ะ ตอนพิมพ์ของตัวเองหยิบมือถือถ่ายไม่ได้ เลยเอาอันนี้มาให้ดู ลายนิ้วค่ะ


หลังจากแมทช์วันกันไปมาอยู่สักพัก เราก็ลงตัวค่ะ ได้ข้อสรุปเป็นวันที่ 24 พฤศจิกายน 2557 ที่เวลา 9.00 น. คือ 1 เดือนกับอีก 1 สัปดาห์โดยประมาณหลังจากพิมพ์ลาย กลับบ้านพร้อมถุงกระดาษ 1 ใบ ภายในบรรจุแฟ้มข้อมูล แนะนำเรื่องลายผิววิทยา และทำความเข้าใจเบื้องต้นถึงหลักการในการวิเคราะห์และอธิบายผล ก็เป็นการบ้านให้เรามาศึกษาก่อนจะได้เข้าใจอะไรๆได้ง่ายขึ้น (ซึ่งไม่อ่านก็ไม่เป็นไรเพราะเขาจะอธิบายให้ฟังง่ายๆวันฟังผลอยู่ดี)

บัตรนัดฟังผลของเก๊าเอง


จากนั้นเราก็กลับมาใช้ชีวิตของเราต่อไป ซึ่งพอใกล้ๆจะถึงวันนัด จะมีเจ้าหน้าที่โทรศัพท์มาเตือนอีกทีว่าเราคอนเฟิร์มเป็นวันเดิม ..กับนี่โทรมาถึงสองครั้งสองครา

ภาพเพื่อการโฆษณา //ขโมยชาวบ้านเค้ามาเหมือนกัน

แล้วก็รอจนถึงวันนัด ก็เดินทางไปที่เดิม คราวนี้ไม่ต้องใช้อะไรแล้ว จะติดบัตรนัดไป 1 ใบกับบัตรประชาชนด้วยก็ได้ กันเหนียว ผลักประตูเข้าห้องเดิม กิจกรรมเดิมเป๊ะ คือยังซดกาแฟไม่ทันจะหมด เจ้าหน้าที่ก็มาเชิญไปที่ห้องวิเคราะห์แล้ว ก็เป็นห้องธรรมดา มีเรากับนักวิเคราะห์ แฟ้มการวิเคราะห์ของเรา 1 เล่มภาษาอังกฤษล้วน ไม่หนามาก พร้อมสมุดจดและดินสอ 


ห้องประมาณนี้ค่ะ แต่ทีบ //ภาพจาก bcfurn.com

จากนั้นก็เริ่มอธิบายง่ายๆก่อนว่าลายผิววิทยาคืออะไร สัมพันธ์กับสมองอย่างไร แล้วตามด้วยผลวิเคราะห์ของตัวเรา โดยแบ่งเป็นฝั่งศักยภาพที่เรามี และลักษณะนิสัยที่เราเป็น ซึ่งเมื่อเอาสองอย่างมารวมกัน จะสามารถบอกได้ว่า ตัวเราเหมาะกับงานแบบไหน หรือต้องพัฒนาตัวเองไปในทางไหน ซึ่งนักวิเคราะห์ก็จะย้ำอยู่เสมอในช่วงแรกสำหรับผู้เข้ารับบริการที่เป็นผู้ใหญ่ว่า ให้ตัดประสบการณ์ส่วนตัวและสภาพแวดล้อมที่เจอมาออกให้หมด เพราะผลวิเคราะห์นี้คือ สิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิดเพียวๆ (ซึ่งหากเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 จะอนุญาตให้เฉพาะผู้ปกครองเท่านั้นที่เข้าไปนั่งฟังการวิเคราะห์ ด้วยเหตุผลด้านวุฒิภาวะ และหากอายุต่ำกว่า 10 ปีทางศูนย์แนะนำให้ไม่ต้องพามาด้วยเนื่องจากไม่มีผู้ดูแล) การฟังผลการวิเคราะห์ใช้เวลาประมาณไม่เกิน 1 ชั่วโมงโดยประมาณ ถ้าไม่มีคำถามหรือข้อปรึกษา ก็ทำแบบประเมินผลและกลับบ้านได้เลย ซึ่งนักวิเคราะห์ก็จะให้นามบัตรไว้ หากกลับมาบ้านแล้วอ่านลงละเอียดอีกทีแล้วไม่เข้าใจ ก็สามารถโทรกลับไปปรึกษาได้เช่นกัน

แผ่นนี้คือสาระที่สุดแล้วในประเด็นนี้ค่ะ //สแกนจากแฟ้มเก๊าเอง


- ความเห็นส่วนตัวหลังเข้ารับบริการและความน่าเชื่อถือ - 

  • ผลการวิเคราะห์ให้ความแม่นยำอยู่ช่วง 80-90% เพราะจากการจัดอันดับทักษะด้านศักยภาพของตัวเราแล้ว สิ่งที่ขึ้นอันดับหนึ่งและสองของเราคือ เรื่องของประสาทหู และภาษาศาสตร์ ส่งผลในด้านการฟัง การเรียนภาษา การจับประเด็น การอ่าน การออกเสียง การพูด และความจำ (ซึ่งตรงนี้ถ้าสนิท เคยทำงาน-เรียนด้วยกันก็คงจะพอเดาได้ว่าเราแม่นเรื่องพวกนี้จริงหรือไม่) แน่นอนว่าตอนกรอกประวัติอาชีพ นี่ก็กรอกไปว่าเป็น MD ของบริษัทขายตาชั่ง แต่ทักษะการบริหารกลับเป็นรองสิ่งพวกนี้ ก็พอจะอนุมานได้ว่า ไม่ได้มั่วลงข้อมูลผลวิเคราะห์จากประวัติที่เรากรอกไนะ


  • ถามต่อว่ามันดีอย่างไร สำหรับคนวัยเราที่ได้รู้สิ่งเหล่านี้ ...ตอบว่า ดีในแง่ของการเคลียร์ปมในวัยเด็ก เช่น เราไม่ได้เป็นเด็กที่ขยันเรียนมาแต่ไหนไร แต่เกรดเรียนได้คือ Top 5 ของระดับชั้นมาตลอด (แล้วก็โง่ลงเรื่อยๆ 5555) แม้แต่ตอนจะแอดมิดชั่นเข้ามหาลัย นี่ก็เรียนพิเศษเอาไว้พอเป็นพิธีแค่นั้น ที่เหลืออาศัยยืมชีทเพื่อนมาสรุป ให้เพื่อนอัดเทปมาฟัง แล้วก็เข้าไปนั่งฟังครูสอนทุกคาบ ก็เอาตัวรอดมาได้ จนมาบัดนี้ ก็ตรงกับที่เขาวิเคราะห์สรุปมาได้ว่า วิธีการเรียนรู้ของเราคือ เรียนรู้จากการฟัง (เพราะประสาทหูมันขึ้นมาอันดับ 1)


  • เลยอดคิดไม่ได้ว่า ถ้ามาทำตั้งแต่เด็กในช่วงวัยกำลังเรียนรู้ ก็คงดีไม่น้อย อย่างน้อยตอนเลือกสายม.4 จะได้เลือกศิลป์-ภาษาไปเลย ไม่ต้องมานั่งเป็นเด็กศิลป์-คำนวณโง่เลขอย่างทุกวันนี้ และอาจได้ภาษาที่ 3 4 5 ตามมาด้วย (เพราะคงจะขลุกอยู่กับมัน)

  • ที่ดีอีกอย่างคือ นักวิเคราะห์มีการ “เตือน” เราด้วยถึงข้อกังวลของเขาเกี่ยวกับเราที่มันแสดงออกให้เห็นทางลายผิว คือ แม้เราจะเด่นมากในเรื่องของการใช้คำ การพูด การจับประเด็น แต่ลายผิวเรามันเป็น Reverse อธิบายง่ายๆคือ มักจะมีการคิดแปลก พูดแปลก ใช้คำแปลก จนบางครั้งไปขัดแย้งกับคนอื่นได้ หรืออาจเข้าใจอะไรผิดได้ง่ายๆ เขาเลยเตือนให้เราหมั่นตรวจสอบความเข้าใจกับฝ่ายตรงข้ามและพยายามประนีประนอมเข้าไว้จะดีกว่า (ซึ่งก็พยายามทำอยู่ แต่ค่อนข้างยาก)


สรุปคือ ...

การพิมพ์ลายผิวเพื่อวิเคราะห์ศักยภาพและนิสัย มันก็เป็นอีกศาสตร์หนึ่งที่จะเลือก เชื่อ หรือ ไม่เชื่อ ก็ได้ ซึ่งถามว่าจะแนะนำให้คนมาใช้บริการมั้ย ก็บอกตรงนี้เลยว่า ..

สำหรับคนที่อยากจะรู้ตัวเอง อยากพิสูจน์ ..
”ถ้ามีกำลังทรัพย์เหลือเฟือ ก็ลองเถอะค่ะ นอกจากเสียเงินกับเวลาก็ไม่มีอะไรเสียหาย แล้วมาแชร์กัน ว่ามันเป็นอย่างที่เราเขียนจริงมั้ย ..แต่ถ้ไม่มีทรัพย์เหลือเฟือแล้วเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง อย่าเสียเวลาเสียตังค์มาเลยค่ะ เก็บตังค์ไว้ทำอย่างอื่นที่อยากทำดีกว่า”

สำหรับคุณพ่อคุณแม่...
“ถ้าพอมีกำลังทรัพย์บ้างแม้จะไม่เหลือเฟือ ก็เจียดเงินมาลองเถอะค่ะ อย่างน้อยก็ได้ทิศทางบางอย่างเป็นช้อยส์ให้ลูกเลือกว่าลูกชอบด้านไหน พ่อแม่จะได้ส่งเสริมให้ถูก ดนตรี กีฬา วิชาการ ภาษาที่ 3-4-5 เน้นไปสักทาง รุ่งกว่าจับฉ่ายแน่นอนค่ะ”

 เพิ่มเติมความเห็นต่างจากสังคมคุณภาพด้วยค่ะ แน่นอนว่าต้องเป็นพันทิปดอทคอม


ก่อนจบ ขอนอกเรื่องนิดนึงจากประสบการณ์ตัวเองคือ ..การปล่อยให้ลูกเลือกเองว่าอยากเรียนหรืออยากเป็นอะไร คือถูกค่ะเป็นสิ่งที่ดี แต่โดยวิธีการมีหลายคนเข้าใจผิด คือเด็กช่วงพัฒนาการเร็วจะไม่มีความมุมานะหรือความอดทนเหมือนผู้ใหญ่ เพราะงั้นจงให้ช้อยส์เขาเลือก สร้างแรงบันดาลใจ และเป็นกำลังใจให้เขาอดทนเรียนหรือฝึกฝนต่อไปให้ตลอดรอดฝั่งค่ะ เพราะนี่จำได้ว่าตอนเด็กๆเคยเรียนอิเล็กโทนอยู่ (ตอนนั้นจนมากไม่มีตังค์เรียนเปียโน, ตอนนี้ก็ยังไม่มี) แล้วเรียนดีมาก ทุกคนชื่นชม แต่เบื่อค่ะ คุณแม่ก็ไม่อยากขัดใจลูก อ้ะ! เลิกก็เลิก สบ๊ายยย ต(ความแตกเมื่อไม่นานมานี้ เพราะไปโวยวายกับแม่ แล้วแม่สวนโครมให้บอกเอ้า! ก็บอกไม่อยากเรียนเองนี่) อีนี่ก็เลยวนไปทุกกิจกรรมเลยค่ะ ทำให้สิ่งที่เป็นตอนนี้คือ เป็นแทบทุกอย่างนะ แต่ไม่ลึกสักอย่าง เป็ดมาก


- รายละเอียดอื่นๆเพิ่มเติม ถามมาหลังไมค์ได้นะคะ อธิบายในนี้สิบแปดหน้าก็ไม่จบ มันยาวค่ะ -

Thursday, October 23, 2014

ไม่ต้องแยกร่างอีกต่อไป!! LINE ON IPAD


ในที่สุดสิ่งที่หงุดหงิดใจของคนเล่น LINE ที่ถือทั้ง Iphone และ Ipad ก็หมดไป!!

เมื่อ LINE Corporation ได้ออก LINE on IPAD ขึ้นมาให้ใช้ฟรี 
ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้ที่ App Store โดย LINE on IPAD ออกมาให้ใช้กันตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2557 แต่นี่เพิ่งเห็นวันนี้ ก็เลยเพิ่งโหลดมาใช้ หลักๆก็คือ ต่อไปไม่ต้องแยกร่าง แยก ID เพื่อเล่น LINE อีกแล้ว เย่!!


โหลดเลออออออออ ...






พอโหลดเข้ามาแล้วก็เจอหน้าตา Login แบบนี้นะจ๊ะ 
ก็ลอคโดยใช้ ID เดียวกับไอโฟนนั่นแหละจ้ะ





พอลอคเข้าได้เสร็จ ในไอโฟนก็จะเด้งขึ้นมาหน้าจอแบบนี้จ้ะ 
ว่าเห้ยยย แกมีคนเอา ID ของแกไปใช้ลอคอินในไอแผ่ดว่ะ




กลับมาดูที่ไอแผ่ดของเราต่อ หน้าตาก็จะประมาณนี้



คือเท่าที่เห็นหลักๆก็คือ ไม่ต้องเสียเวลาสลับเครื่อง หรือสลับ ID เล่นอีกต่อไปแล้ว นี่คือดีงามมม
แต่สำหรับ LINE on IPAD ก็จะยังใช้งานได้ไม่เต็มฟังก์ชั่นของ LINE ไอโฟน
เนื่องจากมีข้อจำกัดบางอย่าง คือ ..

แชทเดี่ยวได้ แชทกรุ๊ปได้ ส่งสติกเกอร์ได้ ส่งรูป ส่งเสียง ส่งวีดีโอ ส่งโลเคชั่นได้
แต่ยังใช้ระบบ Call และ Video Call ไม่ได้ และยังไม่มีระบบ Timeline
(หรือมีแล้วแต่ฉันไม่เห็นหว่าาาา)

แต่แค่เท่านี้ก็เพียงพอสำหรับคนใช้ไลน์เพื่อกรณีสัพเพเหระแล้วข่ะ สำหรับ LINE on Ipad เวอร์ชั่นแรก

Tuesday, April 22, 2014

บัตรปชช. / หม่าม๊า / การิกุส / และลุงสำนักงานเขต

22 เม.ย. 2557 : สำนักงานเขตหนองแขม (เขตที่เต็มไปด้วยแรงงานต่างด้าวและคนหาเช้ากินค่ำ)
สถานการณ์: ต่ออายุบัตรประชาชน
คอสตูม: กุส - เสื้อเชิ้ตตารางม่วงแขนสั้น กางเกงเหลืองสามส่วน
หม่าม๊าของกุส - เสื้อเชิ้ตแพทเทิร์นน้ำเงินแขนสั้น กางเกงขายาว

จุดประสงค์ของการเขียน:
ประชาชนทุกคนควรตรู้ว่า อย่าไปยอมและหงอให้กับเจ้าหน้าที่เขตบางคนที่ทำนิสัยแบบนี้
เพราะคนพวกนี้เวลาพลาดแล้วมักโบ้ยความผิดให้คุณ ถ้าคุณยอมจะทำให้เค้าได้ใจและทำต่อไป
แต่พอเจอคนที่พอมีความรู้บ้าง เอาจริงเข้าหน่อย และพร้อมมีเรื่อง เขาจะไม่กล้าและล่าถอยไปเอง
อะไรทนได้ก็ทนไป แต่ถ้ามันล้ำเส้นความอดทนไปแล้ว ก็อย่าทนมันต่อไปอีกเลยค่ะ




นำเรื่อง
พามารดามาต่อบัตรประชาชนค่ะ จอดรถปุ๊ป ติดต่อจนท.หน้าเคาเตอร์บอกใช้แค่บัตรฯเก่าของจริง
และให้ใบมากรอกอะไรอีกนิดหน่อย ชื่อ-นามสกุล ภาษาไทย-อังกฤษ ศาสนา กรุ๊ปเลือด สถานภาพ ฯลฯ แล้วรอคิว ขั้นตอนจากเคาเตอร์ จนถึงการเรียกคิวใช้เวลาไม่นานค่ะ แต่จากเรียกคิวจนถึงถ่ายรูปนี่นานประมาณต้มน้ำเดือดได้สองรอบ

ตัวละครหลักของสถานการณ์นี้คือ เจ้าหน้าที่ขั้นถ่ายรูปค่ะ สังเกตดูจากที่แกปฏิบัติต่อประชาชนคนอื่นๆแล้ว
ขอฟันธงลักษณะว่าเป็น "มนุษย์ลุง" ที่ทำกิริยาโอ่อ่าใหญ่โต ซึ่งต่อไปจะเรียกว่า "ลุง"
(ความเห็นส่วนตัว: สังเกตดูเหมือนจะแกเมาค้าง ดูมึนๆแปลกๆ)

ฉาก 1 (หงุดหงิดหน่อยๆ แต่ช่างเหอะถือว่าพลาดเอง)
ลุง เรียกชื่อหม่าม๊าของกุสให้ไปถ่ายรูปว่าฟังได้ยินว่าคุณ "อัมพร" ก็นิ่งสิคะทั้งแม่และลูก เพราะอัมพรชื่อใครก็ไม่รู้ จนกระทั่งลุงแกเรียกย้ำอีกทีว่า "อนัญพร" ถึงได้เดินไป สแกนนิ้วอยู่สักพัก กุสก็ถูกเรียกตัวไปค่ะ แล้วถามหาบัตรประชาชน

กุส: ไม่ได้เอามาค่ะ (จริงๆมีใบขับขี่อยู่ในรถ)
ลุง: อ้าวๆๆ แบบนี้ต้องโดนปรับนะ (ชี้นิ้วไปที่ป้ายความผิดตามกฎหมายบัตรประชาชน เขียนไว้ว่า "ผู้ใดไม่สามารถแสดงบัตรประจำตัวประชาชนของตนเมื่อเจ้าพนักงานตรวจบัตรขอตรวจ มีโทษปรับไม่เกิน 200 บาท)
กุส: ถามไปว่า มีปัญหาอะไรเหรอ ถึงต้องเอาบัตรฯเราไปดูด้วย
ลุง: (อธิบายปํญหาว่าแสกนนิ้วไม่ได้ ปัญหาอยู่ที่เขตภาษีเจริญ ซึ่งเป็นที่เก่าที่แกม่ไปทำ เลยต้องดูบัตรลูก)
กุส: งั้นไม่เป็นไรค่ะ ก็แคนเซิลอันนี้ไปก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยไปทำใหม่ที่ภาษีเจริญก็ได้
ลุง: เออๆๆ งั้นจำเลขบัตรได้มั้ยล่ะ ใช้ได้เหมือนกัน
กุส: อ่อ จำได้ค่ะ 110xxxxxxx… (คิดในใจ: มีออปชั่นนี้ด้วย แล้วจะขู่กูเรื่องค่าปรับทำเพื่อออ??)
ลุง: ถามชื่อและอาชีพนิดหน่อย และบอกว่า อ้าว ทำงานแล้วเหรอ
กุส: ทำมาได้สามปีแล้วค่ะ (คิดในใจ: คงคิดว่าชั้นยังเรียนไม่จบสินะ ขู่จั๊งงงง แต่เอาเหอะต่อไปคงต้องพกบัตรปชช.ติดตัวไว้ละ เผื่อฉุกเฉินอะไรก็เกิดขึ้นได้)

ฉาก 2 (หม่าม๊าเริ่มจะไม่ทน)
หลังจากซักไซ้ไล่ประวัติกันเสร็จว่าเป็นแม่ลูกกันจริง ลุงจึงให้หม่าม๊ากุสให้ไปถ่ายรูป

ลุง: หันซ้าย ขวา เอียงซ้าย บิดซ้าย หน้าตรง … เอ้าไม่รู้เรื่องอีกไหนซ้ายไหนขวา...
อ้ะ โอเค เรียบร้อยละ แม่เค้าง่วงละ
กุส: (ได้ยินลุงและอดทนอยู่ เข้าใจว่ามารดาเราเก็ตช้า หูไม่ค่อยดีละ รับอะไรเยอะๆแล้วจะงงๆ)
แม่กุส: ไม่ได้ง่วง ไม่ได้เมื่อยค่ะ (คิดในใจ: แต่ชั้นรำคาญ)
ลุง: (เอาสแต๊มป์กากบาทแดงมาประทับสองจุด) อ้ะ เซ็นต์ตรงนี้สองชื่อ

ฉาก 3 (อีกุสจะไม่ทน)
ทุกอย่างดูเหมือนจะเรียบร้อย หม่าม๊ากุสเดินไปรับบัตรที่โต๊ะสุดท้าย ที่เขียนป้ายว่ากรุณาตรวจสอบความถูกต้องของบัตรฯก่อนกลับบ้าน ซึ่งเมื่อตรวจบัตรใบใหม่พบว่า ชื่อภาษาอังกฤษผิด อีกุสจึงนำบัตรไปหาลุง

กุส: เอ่อ..โทษนะคะ ชื่อภาษาอังกฤษในบัตรประชาชนมันผิดค่ะ
ลุง: อ้าว ก็เมื่อกี้ก่อนเซ็นทำไมไม่ดูให้เรียบร้อยว่ามันผิด!

เมื่ออีประโยคนี้ของลุงโผล่ขึ้นมา อีกุสได้สะกดจิตตัวเองแล้วว่า 
"ชั้นจะไม่ทนอีกต่อไป วันนี้ต้องได้ถอนหงอกอีลุงไร้มารยาทนี้ให้จงได้" อัญเชิญวิญญาณกะรัตเข้าร่าง..

กุส: (เสียงดังในระดับเดซิเบลที่ได้ยินทั้งแผนก) ลุง!!!! งั้นถ้าเป็นแบบนี้ทีหลังก่อนลุงจะให้ใครเซ็นต์ ลุงก็ช่วยบอกเค้าด้วยนะว่า ตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องแล้วเซ็นต์ 2 ชื่อนะครับ ไม่ใช่ทำตัวรีบๆล่กๆแบบยุ่งมากแล้ว ให้คนต่อไปมาต่อคิวรอ แล้วก็บอกคนก่อนหน้าแค่ว่า เซ็นต์สองชื่อ หรือถ้าไม่อยากบอกหลายรอบก็เอาป้ายที่โต๊ะสุดท้ายว่าให้ตรวจสอบข้อมูลน่ะ ก๊อปปี้มาไว้โต๊ะนี้ด้วยอีกชุดนึง!!! บัตรประชาชนคนมาทำ 6 ปีทีนึงใครจะไปจำขั้นตอนอะไรได้ แล้วเอกสารที่กรอกให้ลุงตั้งแต่แรกก็เขียนถูกแล้ว ตกลงนี่มันความผิดประชาชนเหรอ เรื่องลุงพิมพ์ผิดก็แค่ยอมรับแล้วขอโทษ หรือถ้าไม่อยากขอโทษก็เงียบๆไป ไม่ได้จะว่าอะไรอยู่แล้ว แต่อย่ามาทำโบ้ยโยนความผิดให้คนอื่นแบบนี้ เห็นแล้วมันทุเรศ เรามาขอรับบริการเราก็ให้เกียรติขอบคุณคุณ คุณก็ควรมีมารยาทกับเราบ้าง (หลังพูดจบชั้นเหมือนถูกสปอตไลท์ทุกตัวในเขตส่อง แต่คือจังหวะนี้ไม่สนใจอะไรละ โกรธจนมือสั่น)
ลุง: (ไม่รู้ว่าสำนึกได้หรือไม่อยากมาต่อล้อต่อเถียงกับเด็กหรือกลัวจะมีเรื่อง) งั้นเดี๋ยวรอถ่ายรูปนะครับ

ฉาก 4 (ลุง ..ที่เปลี่ยนไป)
จากนั้นลุงก็เรียกหม่าม๊าไปถ่ายรูปใหม่ด้วยการเรียนกชื่อแบบอักขระชัดเจนมาก

ลุง: ทำธุรกิจส่วนตัวนี่เกี่ยวกับอะไรครับ
หม่าม๊ากุส: พวกติดตั้งเครื่องชั่งน้ำหนักรถบรรทุกพร้อมระบบค่ะ
กุส: (นั่งอยู่เก้าอี้ตัวตรงหน้าลุง สงบอารมณ์และดูสถานการณ์)
ลุง: งั้นถ่ายรูปใหม่นะครับ (ถ่ายเงียบๆ พูดจาเข้าใจง่าย ไม่อึมครึมในลำคอ)
หม่าม๊ากุส: ตาดิชั้นก็ไม่ค่อยจะดี ขาแข้งก็ไม่ค่อยจะดี เลยเอาลูกสาวมาให้ช่วยดูให้นี่แหละค่ะ
กุส: (ระดับเสียงเท่าเดิม) มาๆ คราวนี้ต้องดูเอกสารให้ดีๆก่อนเซ็นต์นะคะ เพราะเดี๋ยวผิดแล้วลุงจะว่าเอาได้อีก
ลุง: (หยิบเอกสารที่ปริ๊นแล้วออกมา แล้วส่งให้เงียบๆ)
กุส: อ่าน
หม่าม๊ากุส: เซ็นต์
กุส: ขอบคุณนะคะ (ยิ้ม)

และเราสองแม่ลูกก็เดินออกมาจากสำนักงานเขตด้วยอาการเม้าธ์แหลก พร้อมกับแสดงเจตจำนงกับตัวเองว่า ต่อไปทำบัตรประชาชนอีก ขอเลือกใช้เขตภาษีเจริญดีกว่าค่ะ

อนึ่ง ถ้าใครยังจำได้ อีกุสเคยวีนสาขานี้ไปแล้วรอบนึงตอนมาเปลี่ยนบัตรของตัวเองจากใบเหลืองเป็นบัตรจริง
ซึ่งถ้าดูจากฟีลลิ่งและพิกัดการนั่ง คู่กรณีในตอนนั้นก็น่าจะเป็นลุงคนนี้เหมือนเดิมนี่แหละค่ะ

บทเรียนจากเรื่องนี้:
1. ไม่ว่าจะไปที่ไหนใกล้ไกลบัตรประชาชนคือสิ่งที่ควรพกติดตัวไว้ตลอด สำคัญพอๆกับมือถือและเงิน

2. เอกสารทุกอย่างไม่เฉพาะแค่ธุรกรรมการเงิน ไม่ว่าจะทำกับใคร ทำที่ไหน จุดประสงค์อะไร สำคัญน้อยขนาดไหน ก็จงอ่านให้ละเอียดก่อนลงมือเซ็นต์ และอย่าไปสนใจใครหน้าไหนที่รอต่อจากเราอยู่ อย่ารีบร้อนเพียงเพราะอยากอำนวยความสะดวกให้กับอีกฝ่ายและคนอื่นที่รอ เพราะความรู้สึกเวลาทำคุณบูชาโทษมันไม่ธรรมดาจริงๆ

Tuesday, April 8, 2014

DAOLAKK JC50 : ไม่มีที่ไหนเหมือนที่นี่


การพบปะต่างจังหวัดประจำปีครั้งที่ 3 ของเจซีห้าศูนย์ปีนี้มาในชื่อ “เด้าแหลกจิ๋มมด” สถานที่: ริเวอร์แคว พาราไดซ์ รีสอร์ท กาญจนบุรี, วันที่ 5-7 เมษายน 2557
กับจำนวนคนราว 20 ล้วนชะนีตุ๊ดและบุรุษแท้เพียง 3 คน ในทริปนี้..

คิกออฟด้วยการท้าทายร่างกายวัยเบญจเพสกับกิจกรรม
“ขึ้นเขา มุดถ้ำ สำรวจเส้นทางธรรมชาติ”
พวกเราคือนักท่องเที่ยวกลุ่มแรกที่ได้ปีนและมุดสถานที่แห่งนี้
เราประทับใจกับความมหัศจรรย์ในรูปร่างของหิน
เราตื่นตาตื่น(ตก)ใจกับการโชว์ของฝูงค้างคาว
และเราวิ่งลงเขาอย่างไว เพื่อหนีฝน

กิจกรรมค่ำแรก คาราโอเกะฟูลเอฟเฟค
เพลงที่ร้องเหมือนกลับไปอยู่ปีสองอีกครั้งเจอกันที่ กะฉ่อน
กิจกรรมค่ำหลัง มันคือความพัง ความสามัคคี งานพลีเพื่อเพื่อน
ขอบคุณตัวละครหลักที่ทำให้ทุกอย่างสนุกและไปจนสุดแบบไม่ถอย

วันแรกผ่านไป เข้าสู่วันใหม่ ต่อไปคือการล่องแพ
เอ้า!! โดด ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม
ทุกคนว่านอนสอนง่าย แหวกว่ายหงายคว่ำล่องกันไปตามแม่น้ำ
ตะเกียกตะกายดูคล้ายผู้ประสบภัยรอความช่วยเหลือจากเรือใหญ่
ไม่รวมถึงการไปบำเพ็ญทุกรกิริยาใต้น้ำตกเพียงเพื่อให้ได้รูปลงไอจี
ท่ามกลางสายตาเวทนาของคนแถวนั้น พวกเราสนุกสนาน

ตกกลางคืน ความพังครั้งสุดท้าย
เรามีวงที่คุยกันปรึกษาในเนื้อหาที่มีความข้นคลั่กมากกว่าเดิม
เรามีบักเก็ตสุมหัวสิบวินาที เรามีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม
เราได้ภาษารัสเซียบางคำ และเราสุขสันต์กับการลับสมองประลองไหวพริบ

เอาจริง เพื่อนแบบนี้จะหาได้จากที่ไหนได้อีกในชาตินี้
เฟครักกันออกสื่อ จับมือกันตอนร่วมผลประโยชน์
เจอหน้าด่ากันชิบหาย เก็บความลับไม่ได้คายเรียบ
แต่พอต้องอยู่เงียบๆ ก็คิดถึงเหอะ

สำหรับพวกที่พลาดปีนี้ จะด้วยเหตุใดก็แล้วแต่
ปีหน้า ..เรามาด่ากัน เฟคใส่กัน แฉกัน ตะโกนใส่หน้ากัน
มาใช้เวลาอยู่ด้วยกันเหมือนคนเกลียดๆกันเหอะ แค่สามวันก็พอละ
ส่วนพวกปีนี้ บ้าเอ๊ยยยย คิดถึงอีกละ 


#JC50 #DAOLAAK

ขอขอบคุณสถานที่จากรุ่นพี่ใจดีและเพื่อนที่เพื่อนนำพามาอีกที
ที่เติมเต็มเด้าแหลกปีนี้ให้เข้มข้น







Monday, January 13, 2014

เหตุแห่งความเห็นต่าง และโปเยโปโลเย


ข้อแนะนำก่อนอ่าน** 
หากคิดว่าจะอ่าน โปรดอ่านให้จบ.. 
แต่หากคิดว่าอ่านไม่จบ ขอเชิญหาความสำราญได้จากโปเยโปโลเยค่ะ 
พระเอกมีบางมุมหน้าเหมือนคนติดยา แต่รวมๆถือว่าดีงามนะคะ (ยิ้ม)



13 ม.ค.57 - อีก 1 วันที่ (อาจ) ถูกบันทึกไว้ในตำราเรียนเด็กไทยในอนาคต
ว่ามวลมหาประชาชน กปปส. ได้ทำการ ชัตดาวน์ กรุงเทพมหานคร
จุดประสงค์เพื่อให้เกิดการ ปฏิรูปก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง..

มันมีอยู่ 1 เรื่องที่ดูจะเหมาะกับเหตุการณ์แตกแยกในประเทศเช่นทุกวันนี้
มั่นใจว่าคนที่กำลังอ่านบันทึกนี้อยู่ คงจะเคยมีประสบการณ์ทำโปรเจคหรือโครงการมาบ้าง
ลองทบทวนกันดูว่า ..
ในทุกๆโปรเจคไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ล้วนมีทั้ง "ข้อดีและข้อเสีย" 
ส่วนจะดีมากกว่าหรือเสียมากกว่า ก็ขึ้นอยู่กับคนที่ได้รับ-เสียผลประโยชน์จากโปรเจคนั้นๆ
หลักๆมักประกอบด้วย.. 

1. คนที่ได้เต็มที่ ถ้าไม่ได้จะเดือดร้อนมาก -> มองเห็นแต่ข้อดี ไม่สนใจข้อเสีย
2. คนที่ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร -> ถ้าไม่มีอะไรมากระตุ้น ก็จะไม่มองหาข้อเสียเช่นกัน
3. คนที่ไม่ได้ไม่เสีย ไม่เกี่ยวอะไร -> สิ่งที่มองเห็นมักขึ้นอยู่กับคนรอบข้างและผู้ใกล้ชิด
4. คนที่เสียไม่มาก แต่ก็เสีย -> มองหาข้อเสียบ้าง และอยากทำลายข้อเสียนั้นให้หมดไป
5. คนที่เสียเต็มที่ และเดือดร้อนกับการเสียมาก-> มองเห็นแต่ข้อเสีย ไม่สนใจข้อดี

ยกตัวอย่างเช่น ..


  • 1.ลุงA ชื่นชมประชานิยม 30 บาท เพราะทำให้เขารอดพ้นจากการตาบอดจากต้อด้วยเงินแค่ 30 บาท ดังนั้นไม่ว่าจะอธิบายที่มาของเงินและเบื้องหลังใดใดที่เป็นข้อเสีย จะเหตุผลดีงามแค่ไหน เขาก็ไม่ยอมรับฟังทั้งสิ้น
  • 2.ลุงB ใช้ประชานิยม 30 บาท รักษาอาการป่วยเล็กน้อย บางครั้งคิวยาวมาก ลุงเลยตัดสินใจไปใช้บริการระบบปกติ ค่าใช้จ่ายยังไม่แพงเท่าไหร่ พอจ่ายไหว ใครมาพูดข้อดี-เสียให้ฟัง ก็จะฟังทั้งสองอย่างแต่ไม่ได้มีนัยยะอะไร
  • 3.ลุงC ไม่จำเป็นต้องใช้ประชานิยม 30 บาท เพราะมีสวัสดิการจากที่ทำงานอยู่แล้ว จึงรับฟังทั้งข้อดี-ข้อเสีย ส่วนจะปักใจเชื่อ เทไปทางไหนมากกว่า ก็ขึ้นอยู่กับว่าได้รับสารในทางไหนมากกว่ากัน มักมีตัวแปรเป็นคนรอบข้างหรือคนใกล้ชิด
  • 4.ลุงD ใช้ประชานิยม 30 บาท รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หายขาด เสียเวลา-สุขภาพจิต แต่ยังทำงานได้ปกติ ออกแนวรำคาญแต่ยังไม่กระทบต่อชีวิตมาก จะเห็นด้วยกับข้อเสียเป็นหลัก และต้องการปรับเปลี่ยนให้ทุกอย่างดีขึ้น
  • 5.ลุง E ใช้ประชานิยม 30 บาท รักษาโรคประจำตัว ผลข้างเคียงจากตัวยาส่งผลให้ลุงต้องพิการ คุ้มดีคุ้มร้าย สูญเสียหน้าที่การงาน สูญเสียรายได้ ดังนั้นไม่ว่าจะมีกี่ร้อยข้อดี ลุงก็จะมองไม่เห็นและไม่สนใจรับฟังอะไรทั้งสิ้น 
หรืออีกตัวอย่างเช่น​ ..
  • 1.ลุงF ชื่นชมประชานิยมเชคช่วยชาติ เพราะได้เอาเงินสองพันไปสมทบทุนรักษาอาการป่วยเรื้อรังของเมีย ดังนั้นไม่ว่าจะอธิบายที่มาของเงินและเบื้องหลังใดใดที่เป็นข้อเสีย จะเหตุผลดีงามแค่ไหน เขาก็ไม่ยอมรับฟังทั้งสิ้น
  • 2.ลุงG ใช้ประชานิยมเชคช่วยชาติ แลกซื้อตู้เย็นใหม่ ทดแทนของเก่าที่ใช้มาสิบปี ใครมาพูดข้อดี-เสียให้ฟัง ก็จะฟังทั้งสองอย่างแต่ไม่ได้มีนัยยะอะไร
  • 3.ลุงH ไม่ได้เชคช่วยชาติ เพราะฐานเงินเดือนเกิน จึงรับฟังทั้งข้อดี-ข้อเสีย ส่วนจะปักใจเชื่อ เทไปทางไหนมากกว่า ก็ขึ้นอยู่กับว่าได้รับสารในทางไหนมากกว่ากัน มักมีตัวแปรเป็นคนรอบข้างหรือคนใกล้ชิด
  • ลุงI ใช้เชคช่วยชาติ แลกซื้อสินค้า แต่ด้วยความเข้าใจผิดบางอย่าง ทำให้สูญเงินไปโดยเปล่าประโยชน์ ทำให้เสียเวลาและเสียความรู้สึก จะเห็นด้วยกับข้อเสียเป็นหลัก และต้องการปรับเปลี่ยนให้ทุกอย่างดีขึ้น
  • ลุงJ ใช้เชคช่วยชาติ แลกซื้อสินค้า แต่ด้วยความเข้าใจผิดบางอย่าง ทำให้ไม่เพียงสูญเงิน แต่ต้องเสียเงินเพิ่มอีก จนเป็นหนี้สินใหญ่โต ดังนั้นไม่ว่าจะมีกี่ร้อยข้อดี ลุงก็จะมองไม่เห็นและไม่สนใจรับฟังอะไรทั้งสิ้น 

ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น โครงการ หรือ ตัวบุคคล มันมีทั้ง ข้อดีและข้อเสีย 
การที่คนจะปักใจเชื่อสิ่งใด มักขึ้นอยู่กับประสบการณ์ในอดีตส่วนบุคคล
แมสเสจที่ได้รับจากคนที่เคารพ คนรอบข้าง คนใกล้ชิด แทบทั้งสิ้น
และสิ่งที่ตนได้หรือเสียนั้น มีมูลค่าใหญ่น้อยมากแค่ไหน

หากเข้าใจได้ถึงสิ่งเหล่านี้ ก็อาจจะลดความรุนแรงในจิตใจกับผู้เห็นต่างลงได้
การคิด ไม่รุนแรงเท่าการพูด และการพูดไม่รุนแรงเท่าการลงมือ

สุดท้ายนี้ อนาคตเป็นอย่างไร ยังไม่รู้
แต่หากชัตดาวน์ครั้งนี้สำเร็จ วอนยูสเซอร์ร่วมกันเซ็ตระบบต้านไวรัสใหม่ให้ดีด้วย
อย่าให้เป็นการเปลี่ยนผ่านไวรัสตัวเก่าสู่ไวรัสตัวใหม่เลย
เพราะสุดท้ายไม่ว่าจะออกมาเป็นแบบไหน "เราทุกคนต่างตกเป็นเหยื่อด้วยกันทั้งสิ้น"

หมายเหตุ. 
- บทความนี้ไม่เหมารวมว่าทุกคนจะเป็นเช่นที่กล่าว
- บทความนี้จำเป็นต้องยกตัวอย่างโครงการใหญ่ที่รู้จักกันดีเพื่อให้เห็นภาพชัดเจน
- บทความนี้ยาว เพราะต้องยกโครงการให้ครอบคลุมทั้ง 2 พรรคใหญ่ กันการลำเอียง
- บทความนี้มุ่งหวังที่จะลดกระแสความรุนแรงขัดแย้ง ชี้ให้เห็นถึงเหตุแห่งความเห็นต่าง



ผิดพลาดประการใดในข้อมูล โปรดแสดงความโต้แย้ง
เขียนด้วยความรู้สึกสวยมาก
ฆาฬิกุริสย์ ฆิคฆิคสะระณังว์

Wednesday, January 1, 2014

ขอบคุณปีที่ผ่านมา : What a wonderful world

1 มกราคม 2557 (10.27น.)
ย้ายบล็อคใหม่มาอยู่ที่นี่อย่างเป็นทางการ และขอเปิดโพสแรกด้วยเรื่องราวในปี 2556

1 ปีเต็ม กับการเริ่มต้นทำงานอิสระอย่างเป็นทางการ สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างมากคือ ...
เราหลุดพ้นจากวังวนที่เรียกว่างานประจำ
เราหลุดพ้นจากกิจกรรมเดิมๆที่เราทำทุกวัน
เราหลุดพ้นจากงานที่เรารักและมีความสุขทุกครั้งที่ทำ
และ เราหลุดพ้นจากรายรับที่สามารถการันตีได้ทุกเดือน

ทว่า ..
เราพบกับความท้าทายใหม่ๆในงานที่เราคิดว่าเราไม่ถนัด
เราพบกับตัวเราเอง รู้จักตัวเราเอง และมีเวลาให้กับตัวเองมากขึ้น
เราพบกับคนใหม่ๆที่มีหลายๆอย่างให้เราได้เรียนรู้
เราพบกับงานที่เรายังไม่ค่อยรัก แต่เมื่องานเสร็จเรารู้สึกมีคุณค่า
เราพบว่าเรามีเวลามากขึ้น แต่ก็ยังใช้ได้อย่างไม่คุ้มค่านัก
เราพบว่าเรามีเงินมากขึ้น และก็ใช้เงินเหล่านั้นไปมากขึ้นและหมดไวขึ้นเช่นกัน
เราพบว่าถ้าเราวางแผนชีวิตของเราให้ดี เราจะผ่านแต่ละวันอย่างมีความสุข


และ ..
เราหวนกลับไปพบเจอคนเก่าๆกับงานเก่าๆที่เราชอบทำ
เราหวนกลับไปใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นได้ในโอกาสที่บ่อยขึ้น
เราหวนกลับไปให้เวลากับครอบครัวได้มากขึ้น

เราขอบคุณสิ่งที่เราเคยผ่านมา ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดีในสายตาเรา
แต่สิ่งเหล่านั้นทำให้เราเติบโต และมีมุมมองที่กว้างขวางขึ้น



ส่วนเป้าหมายในปี 2557 คงไม่มีอะไรมากไปกว่าการพัฒนาตัวเองให้มีคุณค่ายิ่งขึ้น
และตอบคำถามให้ได้ว่า ..
1. ต้องทำอย่างไรถึงจะเหนื่อยน้อยลงแต่ได้คุณภาพและสนุกมากขึ้น
2. เป็นไปได้หรือไม่ ที่ทุนนิยมกับการรับใช้สังคม จะไปด้วยกันได้ แล้วต้องทำอย่างไร

แค่สองข้อก็ปวดสมองแล้ว เพราะต้องไม่ใช่แค่คิด 
แต่ต้องลงมือทำ และต้องทำให้ได้จริงด้วย

สวัสดี 2557 / 2014
การิกุส