Wednesday, November 26, 2014

ทฤษฎีลายผิว เขาว่ามันบอกศักยภาพในตัวคนได้


เมื่อสักสามสี่ปีก่อนหน้านี้ ได้มีโอกาสเข้าไปนั่งฟังคล้ายๆงานสัมมนาของศูนย์นี้อยู่ครั้งหนึ่ง ว่าด้วยเรื่องของลายผิววิทยากับการค้นหาศักยภาพในตัวบุคคล ก็เห็นเป็นเรื่องใหม่ที่น่าสนใจดี แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก เหตุผลหลักก็คือ ค่าใช้จ่ายกับสิ่งที่ได้ สำหรับเราแล้วดูจะไม่คุ้มค่าสักเท่าไหร่ เปรียบง่ายๆก็เหมือนกับ พนักงานเงินเดือนสองหมื่นแต่เอาเงินเก็บก้อนโตไปซื้อรถยุโรปอย่างหรูเพียงเพื่ออยากจะรู้แค่ว่ามันนั่งดียังไง ดีจริงอย่างที่คนเขาว่ากันไว้หรือเปล่า

แคปจากแฟ้มรีพอร์ทเก๊าเอง


จนกระทั่งเมื่อวันเกิดที่ผ่านมานี้ โชคดีได้ของขวัญมาจากผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเป็น บัตรกำนัลสำหรับเข้ารับบริการวิเคราะห์ฯที่ศูนย์นี้พอดี ขั้นตอนก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร แต่ต้องโทรไปนัดหมายล่วงหน้า ถ้าได้เป็นบัตรกำนัลมาเจ้าหน้าที่ก็จะถามเลขที่ ก็ตอบไปตามคำถามเขา และก็ได้นัดมาเป็นวันที่ 18 ตุลาคม 2557 เวลา 9.00 น.

รูปจาก oknation ค่ะ
ถึงเวลานัดก็เดินทางไปที่ อาคารปัญจภูมิ ชั้น 4 ถนนสาทร อันเป็นที่ตั้งของศูนย์ ที่นี่มีชากาแฟ น้ำเก๊กฮวย น้ำเปล่า ลูกอมฟรีสำหรับผู้เข้ารับบริการและผู้ติดตาม ถ้าอยากกินก็เดินไปชงเอง 


ภาพจากคุณ prakasitcooking ค่ะ

สิ่งที่ต้องนำไปก็มี บัตรกำนัล กับ บัตรประชาชน ยื่นเคาเตอร์ เสร็จปั๊ป ก็กรอกประวัติส่วนตัวนิดหน่อย ชื่อ-นามสกุล สถานที่ทำงาน เคยมีญาติเข้ารับบริการที่นี่มาก่อนหรือไม่ ใดใด จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะเรียกไปอีกจุดหนึ่ง เพื่อพิมพ์นิ้วมือทั้งสิบนิ้ว ฝ่ามือสองข้าง รวมถึงสันมือส่วนอุ้งมือด้านนอกด้วย แล้วก็ไปล้างมือ และกลับมาเคาเตอร์ทำนัดฟังผลวิเคราะห์อีกที ซึ่งขั้นตอนนี้หากมีญาติที่เคยเข้ารับบริการแล้ว เขาจะแนะนำให้ใช้นักวิเคราะห์คนเดียวกับที่วิเคราะห์ให้ญาติเรา และเราสามารถเลือกนักวิเคราะห์เองได้ด้วย ซึ่งต้องรอคิวนานมาก ข้ามปีกันเลยทีเดียว นี่เลยบอกว่าเอาใครก็ได้ ไม่ต้องวันเสาร์-อาทิตย์ก็ได้ ซึ่งกว่าจะได้ก็นานอยู่ดี 

ลายนิ้วมือจากแฟ้มอาชญากรรมค่ะ ตอนพิมพ์ของตัวเองหยิบมือถือถ่ายไม่ได้ เลยเอาอันนี้มาให้ดู ลายนิ้วค่ะ


หลังจากแมทช์วันกันไปมาอยู่สักพัก เราก็ลงตัวค่ะ ได้ข้อสรุปเป็นวันที่ 24 พฤศจิกายน 2557 ที่เวลา 9.00 น. คือ 1 เดือนกับอีก 1 สัปดาห์โดยประมาณหลังจากพิมพ์ลาย กลับบ้านพร้อมถุงกระดาษ 1 ใบ ภายในบรรจุแฟ้มข้อมูล แนะนำเรื่องลายผิววิทยา และทำความเข้าใจเบื้องต้นถึงหลักการในการวิเคราะห์และอธิบายผล ก็เป็นการบ้านให้เรามาศึกษาก่อนจะได้เข้าใจอะไรๆได้ง่ายขึ้น (ซึ่งไม่อ่านก็ไม่เป็นไรเพราะเขาจะอธิบายให้ฟังง่ายๆวันฟังผลอยู่ดี)

บัตรนัดฟังผลของเก๊าเอง


จากนั้นเราก็กลับมาใช้ชีวิตของเราต่อไป ซึ่งพอใกล้ๆจะถึงวันนัด จะมีเจ้าหน้าที่โทรศัพท์มาเตือนอีกทีว่าเราคอนเฟิร์มเป็นวันเดิม ..กับนี่โทรมาถึงสองครั้งสองครา

ภาพเพื่อการโฆษณา //ขโมยชาวบ้านเค้ามาเหมือนกัน

แล้วก็รอจนถึงวันนัด ก็เดินทางไปที่เดิม คราวนี้ไม่ต้องใช้อะไรแล้ว จะติดบัตรนัดไป 1 ใบกับบัตรประชาชนด้วยก็ได้ กันเหนียว ผลักประตูเข้าห้องเดิม กิจกรรมเดิมเป๊ะ คือยังซดกาแฟไม่ทันจะหมด เจ้าหน้าที่ก็มาเชิญไปที่ห้องวิเคราะห์แล้ว ก็เป็นห้องธรรมดา มีเรากับนักวิเคราะห์ แฟ้มการวิเคราะห์ของเรา 1 เล่มภาษาอังกฤษล้วน ไม่หนามาก พร้อมสมุดจดและดินสอ 


ห้องประมาณนี้ค่ะ แต่ทีบ //ภาพจาก bcfurn.com

จากนั้นก็เริ่มอธิบายง่ายๆก่อนว่าลายผิววิทยาคืออะไร สัมพันธ์กับสมองอย่างไร แล้วตามด้วยผลวิเคราะห์ของตัวเรา โดยแบ่งเป็นฝั่งศักยภาพที่เรามี และลักษณะนิสัยที่เราเป็น ซึ่งเมื่อเอาสองอย่างมารวมกัน จะสามารถบอกได้ว่า ตัวเราเหมาะกับงานแบบไหน หรือต้องพัฒนาตัวเองไปในทางไหน ซึ่งนักวิเคราะห์ก็จะย้ำอยู่เสมอในช่วงแรกสำหรับผู้เข้ารับบริการที่เป็นผู้ใหญ่ว่า ให้ตัดประสบการณ์ส่วนตัวและสภาพแวดล้อมที่เจอมาออกให้หมด เพราะผลวิเคราะห์นี้คือ สิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิดเพียวๆ (ซึ่งหากเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 จะอนุญาตให้เฉพาะผู้ปกครองเท่านั้นที่เข้าไปนั่งฟังการวิเคราะห์ ด้วยเหตุผลด้านวุฒิภาวะ และหากอายุต่ำกว่า 10 ปีทางศูนย์แนะนำให้ไม่ต้องพามาด้วยเนื่องจากไม่มีผู้ดูแล) การฟังผลการวิเคราะห์ใช้เวลาประมาณไม่เกิน 1 ชั่วโมงโดยประมาณ ถ้าไม่มีคำถามหรือข้อปรึกษา ก็ทำแบบประเมินผลและกลับบ้านได้เลย ซึ่งนักวิเคราะห์ก็จะให้นามบัตรไว้ หากกลับมาบ้านแล้วอ่านลงละเอียดอีกทีแล้วไม่เข้าใจ ก็สามารถโทรกลับไปปรึกษาได้เช่นกัน

แผ่นนี้คือสาระที่สุดแล้วในประเด็นนี้ค่ะ //สแกนจากแฟ้มเก๊าเอง


- ความเห็นส่วนตัวหลังเข้ารับบริการและความน่าเชื่อถือ - 

  • ผลการวิเคราะห์ให้ความแม่นยำอยู่ช่วง 80-90% เพราะจากการจัดอันดับทักษะด้านศักยภาพของตัวเราแล้ว สิ่งที่ขึ้นอันดับหนึ่งและสองของเราคือ เรื่องของประสาทหู และภาษาศาสตร์ ส่งผลในด้านการฟัง การเรียนภาษา การจับประเด็น การอ่าน การออกเสียง การพูด และความจำ (ซึ่งตรงนี้ถ้าสนิท เคยทำงาน-เรียนด้วยกันก็คงจะพอเดาได้ว่าเราแม่นเรื่องพวกนี้จริงหรือไม่) แน่นอนว่าตอนกรอกประวัติอาชีพ นี่ก็กรอกไปว่าเป็น MD ของบริษัทขายตาชั่ง แต่ทักษะการบริหารกลับเป็นรองสิ่งพวกนี้ ก็พอจะอนุมานได้ว่า ไม่ได้มั่วลงข้อมูลผลวิเคราะห์จากประวัติที่เรากรอกไนะ


  • ถามต่อว่ามันดีอย่างไร สำหรับคนวัยเราที่ได้รู้สิ่งเหล่านี้ ...ตอบว่า ดีในแง่ของการเคลียร์ปมในวัยเด็ก เช่น เราไม่ได้เป็นเด็กที่ขยันเรียนมาแต่ไหนไร แต่เกรดเรียนได้คือ Top 5 ของระดับชั้นมาตลอด (แล้วก็โง่ลงเรื่อยๆ 5555) แม้แต่ตอนจะแอดมิดชั่นเข้ามหาลัย นี่ก็เรียนพิเศษเอาไว้พอเป็นพิธีแค่นั้น ที่เหลืออาศัยยืมชีทเพื่อนมาสรุป ให้เพื่อนอัดเทปมาฟัง แล้วก็เข้าไปนั่งฟังครูสอนทุกคาบ ก็เอาตัวรอดมาได้ จนมาบัดนี้ ก็ตรงกับที่เขาวิเคราะห์สรุปมาได้ว่า วิธีการเรียนรู้ของเราคือ เรียนรู้จากการฟัง (เพราะประสาทหูมันขึ้นมาอันดับ 1)


  • เลยอดคิดไม่ได้ว่า ถ้ามาทำตั้งแต่เด็กในช่วงวัยกำลังเรียนรู้ ก็คงดีไม่น้อย อย่างน้อยตอนเลือกสายม.4 จะได้เลือกศิลป์-ภาษาไปเลย ไม่ต้องมานั่งเป็นเด็กศิลป์-คำนวณโง่เลขอย่างทุกวันนี้ และอาจได้ภาษาที่ 3 4 5 ตามมาด้วย (เพราะคงจะขลุกอยู่กับมัน)

  • ที่ดีอีกอย่างคือ นักวิเคราะห์มีการ “เตือน” เราด้วยถึงข้อกังวลของเขาเกี่ยวกับเราที่มันแสดงออกให้เห็นทางลายผิว คือ แม้เราจะเด่นมากในเรื่องของการใช้คำ การพูด การจับประเด็น แต่ลายผิวเรามันเป็น Reverse อธิบายง่ายๆคือ มักจะมีการคิดแปลก พูดแปลก ใช้คำแปลก จนบางครั้งไปขัดแย้งกับคนอื่นได้ หรืออาจเข้าใจอะไรผิดได้ง่ายๆ เขาเลยเตือนให้เราหมั่นตรวจสอบความเข้าใจกับฝ่ายตรงข้ามและพยายามประนีประนอมเข้าไว้จะดีกว่า (ซึ่งก็พยายามทำอยู่ แต่ค่อนข้างยาก)


สรุปคือ ...

การพิมพ์ลายผิวเพื่อวิเคราะห์ศักยภาพและนิสัย มันก็เป็นอีกศาสตร์หนึ่งที่จะเลือก เชื่อ หรือ ไม่เชื่อ ก็ได้ ซึ่งถามว่าจะแนะนำให้คนมาใช้บริการมั้ย ก็บอกตรงนี้เลยว่า ..

สำหรับคนที่อยากจะรู้ตัวเอง อยากพิสูจน์ ..
”ถ้ามีกำลังทรัพย์เหลือเฟือ ก็ลองเถอะค่ะ นอกจากเสียเงินกับเวลาก็ไม่มีอะไรเสียหาย แล้วมาแชร์กัน ว่ามันเป็นอย่างที่เราเขียนจริงมั้ย ..แต่ถ้ไม่มีทรัพย์เหลือเฟือแล้วเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง อย่าเสียเวลาเสียตังค์มาเลยค่ะ เก็บตังค์ไว้ทำอย่างอื่นที่อยากทำดีกว่า”

สำหรับคุณพ่อคุณแม่...
“ถ้าพอมีกำลังทรัพย์บ้างแม้จะไม่เหลือเฟือ ก็เจียดเงินมาลองเถอะค่ะ อย่างน้อยก็ได้ทิศทางบางอย่างเป็นช้อยส์ให้ลูกเลือกว่าลูกชอบด้านไหน พ่อแม่จะได้ส่งเสริมให้ถูก ดนตรี กีฬา วิชาการ ภาษาที่ 3-4-5 เน้นไปสักทาง รุ่งกว่าจับฉ่ายแน่นอนค่ะ”

 เพิ่มเติมความเห็นต่างจากสังคมคุณภาพด้วยค่ะ แน่นอนว่าต้องเป็นพันทิปดอทคอม


ก่อนจบ ขอนอกเรื่องนิดนึงจากประสบการณ์ตัวเองคือ ..การปล่อยให้ลูกเลือกเองว่าอยากเรียนหรืออยากเป็นอะไร คือถูกค่ะเป็นสิ่งที่ดี แต่โดยวิธีการมีหลายคนเข้าใจผิด คือเด็กช่วงพัฒนาการเร็วจะไม่มีความมุมานะหรือความอดทนเหมือนผู้ใหญ่ เพราะงั้นจงให้ช้อยส์เขาเลือก สร้างแรงบันดาลใจ และเป็นกำลังใจให้เขาอดทนเรียนหรือฝึกฝนต่อไปให้ตลอดรอดฝั่งค่ะ เพราะนี่จำได้ว่าตอนเด็กๆเคยเรียนอิเล็กโทนอยู่ (ตอนนั้นจนมากไม่มีตังค์เรียนเปียโน, ตอนนี้ก็ยังไม่มี) แล้วเรียนดีมาก ทุกคนชื่นชม แต่เบื่อค่ะ คุณแม่ก็ไม่อยากขัดใจลูก อ้ะ! เลิกก็เลิก สบ๊ายยย ต(ความแตกเมื่อไม่นานมานี้ เพราะไปโวยวายกับแม่ แล้วแม่สวนโครมให้บอกเอ้า! ก็บอกไม่อยากเรียนเองนี่) อีนี่ก็เลยวนไปทุกกิจกรรมเลยค่ะ ทำให้สิ่งที่เป็นตอนนี้คือ เป็นแทบทุกอย่างนะ แต่ไม่ลึกสักอย่าง เป็ดมาก


- รายละเอียดอื่นๆเพิ่มเติม ถามมาหลังไมค์ได้นะคะ อธิบายในนี้สิบแปดหน้าก็ไม่จบ มันยาวค่ะ -

No comments:

Post a Comment