Monday, August 29, 2016

เพลงสรรเสริญพระบารมี โรงหนัง และการลุกขึ้นยืน

ก่อนจะอ่านเนื้อหาต่อไปนี้ ...
ทุกท่านไม่จำเป็นต้องลุกขึ้นยืนถวายความเคารพ โดยพร้อมเพรียงกัน
การแปะวีดีโอเพลงสรรเสริญพระบารมีครั้งนี้ เพราะชอบเวอร์ชั่นนี้และอยากเก็บไว้เท่านั้น



คอภาพยนตร์ทั้งไทยและเทศ คงทราบกันดีว่าทุกครั้งก่อนภาพยนตร์เริ่มฉาย ทุกเรื่องทุกโรงจะต้องฉายเพลงสรรเสริญพระบารมี พร้อมข้อความเชิญชวนให้ผู้ชมลุกขึ้นยืนตรง เพื่อแสดงความเคารพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ (aka พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว)

ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่แต่เฉพาะการฉายภาพยนตร์เท่านั้น แต่หมายถึง “ทุกมหรสพ” ที่ก่อนเริ่มการแสดง จะต้องมีการบรรเลง หรือฉายเพลงสรรเสริญพระบารมีก่อนเสมอ แม้จะไม่ได้มีบัญญัติบังคับเป็นข้อกฎหมาย แต่โรงมหรสพทุกที่ก็ได้ทำสืบเนื่องกันจนกลายเป็น “จารีต” (น.ประเพณีที่สืบต่อกันมานาน, พจนานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน)

ส่วนที่มาแต่แรกเริ่มว่าทำไมต้องมี เท่าที่สืบค้นจากหลายที่ ท่านผู้รู้ คนเฒ่าคนแก่เล่ามา หรือจดหมายเหตุฯ ก็ยังไม่มีข้อมูลไหนที่ให้ตรงกัน บ้างว่าจากรัชกาลที่ 5 บ้างว่ารับมาจากสิงคโปร์ บ้างว่าสมัยจอมพลป. หรือบ้างว่าแค่ต้องการให้คนรู้ว่ามหรสพกำลังจะเริ่มแล้วเท่านั้น หรือบางท่านก็ทันในยุคที่เปิดเป็นเพลงสุดท้ายหลังมหรสพทุกสิ่งจบ อันตัวเราผู้ไม่รู้ จึงขออนุญาตกล่าวข้ามจุดนี้ไปที่เหตุการณ์ก็แล้วกัน

ตัดกลับมาที่ยุคปัจจุบัน เริ่มมีคนตั้งคำถามกับเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงภาพยนตร์ ว่า ผิดหรือไม่ หากเลือกที่จะถือป๊อปคอร์นไว้แล้ว “ไม่ลุกขึ้นยืนแสดงความเคารพจงรักภักดี”

- ฝ่ายที่ตอบว่าผิด ได้ยกเหตุผลด้านจารีตสังคม ความรักชาติ-กษัตริย์ มาตำหนิ
- ฝ่ายที่ตอบว่าไม่ผิด ก็ได้อ้างเหตุผลด้านยุคสมัย สิทธิ เสรีภาพส่วนบุคคล มาโต้กลับ

กลายเป็นเหตุให้ทะเลาะกันมากกว่าจะแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพราะแต่ละฝ่ายได้มี “ธง” ของตัวเองไว้แล้ว และเป็นธงหลักที่อีกฝ่ายจะ “แตะต้องไม่ได้”

อ่านที่ทุ่มเถียงกันมาก็เยอะ “เรา” ผู้นิยมในสิทธิเสรีภาพและชอบตั้งคำถาม แต่ก็ลุกขึ้นยืนทุกครั้งที่โรงหนังฉายเพลงสรรเสริญพระบารมี ก็เลยขอถามต่อทั้งสองฝ่ายกลับบ้างว่า..

ฝ่ายที่นิยมการไม่ลุกขึ้นยืน
- การขอความร่วมมือให้ “ลุกขึ้นยืน” เพียงแค่ 2-3 นาที มันสร้างความลำบาก และเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลขนาดนั้นเลยหรือ ??

และฝ่ายที่นิยมการลุกขึ้นยืน
- การมองข้ามผ่านคนที่ “ไม่ลุกขึ้น” ยืนเพียงแค่ 2-3 นาที มันทำให้รู้สึกอึดอัด และตัดสินเขาว่าเป็นคนไม่ดี ไม่รักชาติ ไม่รักสถาบัน แบบนี้ก็ได้เลยหรือ ??

แต่ก็ไม่เคยได้คำตอบอะไรกลับมาเลย…

Sunday, August 28, 2016

พ่อหัวโบราณ กับ ลูกสาวแสนดี และเพื่อนที่ไม่ได้ดั่งใจ

ครอบครัวหนึ่งอยู่กันแบบอบอุ่น พ่อแม่ลูก ตั้งแต่เล็กยันโต ลูกสาวที่น่ารักของพ่อเป็นเด็กดีอยู่ในโอวาทมาโดยตลอด ไม่เคยโกหกปิดบัง หรือทำให้พ่อต้องเจ็บช้ำน้ำใจเลย เวลาผ่านไปเกือบ 30 ปี ลูกสาวคนดีของพ่อมาขออนุญาตไปเที่ยวต่างประเทศกับผู้ชายที่รู้จักและคบกันเป็นแฟนมาได้เดือนครึ่งแบบสองต่อสอง เป็นเวลา 4 วัน




ผู้เป็นพ่อเอ่ยไม่อยากให้ไป แม้ว่าจะไปพักที่บ้านญาติสนิทก็ตาม จึงเกิดการโต้เถียงกันยกใหญ่ และจบท้ายด้วยชัยชนะของลูก ด้วยเหตุผลว่าไม่อยากถูกปิดหูปิดตา และอยากพิสูจน์ว่าแฟนหนุ่มใช้ชีวิตยังไง ถ้าพ่อไม่ให้ไป แล้วไม่ได้ลงเอยกับคนนี้ หรือแต่งงานกันแล้วมีปัญหา พ่อจะรับผิดชอบมั้ย? แล้วจากนั้นแม้บรรยากาศจะไม่มึนตึง แต่พ่อลูกก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย






"พ่อ" จึงได้เล่าเรื่องนี้ให้ญาติสนิทที่ลูกจะไปพักด้วยให้ฟัง บอกว่าให้ช่วยพูดหน่อย โดยส่งแชทไปหา พร้อมกับเหตุผลที่ไม่อยากให้ไปว่า 
"คบกันยังไม่นานพอ พ่อแม่ยังไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหน้า พูดคุยเจอตัว รู้ประวัติคร่าวๆจากที่ลูกบอก ลูกน่าจะพามาให้รู้จักกันก่อน ทำแบบนี้ลูกไม่คิดหรือว่า พ่อเป็นห่วงชื่อเสียง คนอื่นเขาจะมองลูกพ่อว่าเป็นผู้หญิงแบบไหนกัน ดูไม่ดีในสายตาผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ขอให้ช่วยยับยั้งหน่อย อย่าใจร้อน ถ้าใช่ก็คือใช่ ค่อยๆศึกษานิสัยใจคอ ดูกันไปยาวๆก่อน"

-------- ญาติจึงส่งต่อข้อความทั้งหมดนี้ให้กับลูกสาว --------




ฝ่าย "ลูกสาว" เมื่อได้ข้อความ จึงนำเรื่องนี้ไปเล่าให้ "เพื่อนสนิทข้างบ้าน" ที่โตมาด้วยกันฟังว่า
"ทำไมพ่อถึงไม่เข้าใจทั้งที่อุตส่าห์บอกตรงๆแบบไม่โกหกแล้ว อีกอย่างอายุก็ไม่น้อยแล้ว เรียนจบ มีอาชีพหน้าที่การทำ ทำไมพ่อถึงยังห้ามด้วย"
เพื่อนแนะนำว่า 
"พ่อแกเป็นห่วงแหละ แต่เมื่อเทียบกับหลายครอบครัว พ่อแกเปิดใจมากแล้วนะ แกก็แค่ให้พี่เขามารู้จักกับพ่อ มาเจอพ่อ มาขออนุญาตพ่อ แค่นี้ก็พ่อก็โอเคแล้ว"





ลูกจึงกลับไปคุยกับพ่ออีกครั้ง แล้วกลับมาอัพเดตเพื่อนอย่างแจ่มใสในรุ่งเช้าว่า เคลียร์กันเรียบร้อยจบลงด้วยดี สบายใจแล้วทั้งสองฝ่าย โดยสรุปให้เพื่อนฟังว่า 
“จะไม่ไปเที่ยวแล้ว เพื่อความสบายใจของพ่อ และจะไม่ไปไหนกับผู้ชายอีกแล้ว ไม่ทำให้ภาพลักษณ์ตัวเองไม่ดี ไม่ยุ่งกับผู้ชาย และเลิกคบผู้ชาย”
แต่กลับทำให้พ่อหนักใจมากขึ้น กลัวจะเป็นสาเหตุให้ลูกสาวต้องเลิกกับแฟน ไม่อยากให้ลูกรู้สึกว่าโดนกีดกันและสงสัยว่านี่คือการประชดหรือเปล่า? ลูกสาวก็บอกว่า
"ไม่ได้ประชด แต่รู้สึกแบบนี้จริงๆ เพราะถ้าคบกันแล้วทำให้ต้องอึดอัด ลูกก็จะเลิก ลูกเป็นคนโกหกไม่เป็น ไม่อยากโกหก แต่ถ้าไม่โกหก แล้วพ่อไม่สบายใจ ไม่ไปก็ได้แต่ความสัมพันธ์กับแฟนก็อาจลดลง พ่อก็ไม่สบายใจอีก งั้นลูกจะทำในสิ่งที่พ่อสบายใจแล้วกัน ซึ่งเมื่อพ่อได้ยินคำยืนยันแบบนั้น ก็หัวเราะ แล้วบอกว่าไปเลย ไม่ห้ามแล้ว เป็นการหัวเราะทั้งสองฝ่าย รู้สึกสบายใจจริงๆ"

ฝ่ายเพื่อน จึงบอกไปว่า 
"ทำไมเรารู้สึกเหมือนแกกำลังกดดันพ่อ ทำให้พ่อรู้สึกว่าตัวเองเป็นต้นเหตุของการพังความสัมพันธ์ของลูกวะ แล้วก็มาบอกตอนจบว่าตามใจนะ ลูกจะทำตามความสบายใจของพ่อ เราว่าพ่อแกยิ้มในหน้าแต่น้ำตาไหลข้างในว่ะ เหมือนแกใช้ความรักของพ่อบังคับให้พ่อต้องอนุญาตให้แกไปเที่ยวได้อย่างสบายใจเลยอ้ะ"

ฝ่ายลูกสาว เมื่อทราบความคิดเพื่อนดังนั้น จึงพูดกับเพื่อนไปว่า 
"แกจะพูดให้เราเครียดทำไมทั้งที่เรากับพ่อคุยเป็นชั่วโมง แล้วก็รู้สึกสบายใจจริงๆแล้ว ที่เราเล่าให้แกฟัง มันเป็นการสรุป แกไม่รู้อารมณ์ขณะที่คุย เราไม่โทษพ่อเรา แต่เราโทษความคิดเห็นหัวโบราณของพ่อ เราแคร์พ่อเราจริงๆ เราเซนซิทีฟเรื่องครอบครัว เราเป็นครอบครัวเดียวกัน เราดูกันออก พูดคุยเปิดเผยอยู่แล้ว พ่อเรายังขอบคุณเราที่บอกความจริง ไม่โกหก เราเล่าเรื่องแฟนเราให้พ่อฟังทุกอย่าง แล้วเราก็ได้รู้ว่าพ่อเราใส่ใจในรายละเอียดชีวิตเราขนาดไหน"

ฝ่ายเพื่อน เมื่อได้ยินการตัดพ้อแบบนั้นจึงได้แต่เอ่ยไปว่า 
"เราเห็นอะไรบางอย่าง เลยแนะนำไปตามมุมมองที่เห็น เรารู้จักกันมานาน เล่นกันมาแต่เด็ก มีอะไรก็พูดกันตรงๆ ทั้งหมดคือเพราะเป็นห่วง แล้วก็ขอโทษหากมันจะล้ำเส้นไป แต่การตัดสินใจยังไงก็แล้วแต่แกอยู่แล้ว"

 


--------------------- แล้วเรื่องนี้ จบยังไง!!? ---------------------



เรื่องนี้ "ไม่มีตอนจบ" ไม่มีคนผิด ไม่มีคนถูก ไม่มีใครรู้ว่าจริงๆแล้วตัวละครแต่ละตัว คิดอย่างไร เขากำลังหลอกเรา หรือหลอกตัวเองอยู่ก็ได้ แต่ในทุกเรื่องราวเมื่อเล่าต่อไปถึงบุคคลที่สาม ตัวละครเหล่านั้นล้วนถูก "ตัดสิน" ไปแล้วทั้งสิ้น อยู่ที่ว่าเขาจะบอกมั้ย ว่าเขาตัดสินอย่างไร แล้วคุณจะยอมรับคำตัดสินนั้นได้หรือไม่ 


  1. พ่อหัวโบราณ อาจเป็นคนเดียวกับพ่อที่เปิดกว้างในเรื่องความสัมพันธ์ของลูกมากที่สุดก็ได้ 
  2. ลูกที่เห็นผู้ชายดีกว่าพ่อ อาจเป็นคนเดียวกับลูกที่อย่างน้อยก็ไม่เคยโกหกพ่อก็ได้
  3. เพื่อนขี้เสือก ก็อาจเป็นคนเดียวกับเพื่อนที่คอยช่วยเหลือเพื่อนอย่างถึงที่สุดก็ได้



แล้วคุณล่ะ!!? จะเลือกวิธีการแบบไหน 
ถ้าต้องเป็นตัวละครที่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ?? 



Thursday, August 25, 2016

รุ่นพี่ควรอ่าน รุ่นน้องควรรู้ #1 : ประโยคฮิต




(แปะเพลงก่อน 1 เพลง นี่มั่นใจมาก ว่าสายกิจกรรมเดาถูกแน่นอนว่าเพลงอะไร >_<)


วาระเวียนบรรจบครบอีก 1 ปี สำหรับ "เฟรชชี่" หน้าใหม่ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่รั้วสถาบันใหม่ ปรับตัวกับสังคมและสภาพแวดล้อมใหม่ๆ โดยการต้อนรับอย่างอบอุ่นจาก “รุ่นพี่ผู้น่ารัก” ซึ่งล้างคอรอจัดกิจกรรมให้น้องๆ โดยอาศัยประสบการณ์จากที่เคยเป็นผู้รับมาเมื่อปีที่แล้วเป็นหลัก ซึ่งแต่ละอย่าง แต่ละพฤติกรรม ก็ไม่รู้ว่าจะทำให้ “รักกัน” จริงมั้ย

แต่จากใจจริงนะ คณะเราไม่มีว้าก ไม่มีห้องเชียร์ ตอนปี 1 เรากับเพื่อนยังเกลียดกันแทบตาย
(ตอนนี้ก็ยังเกลียดนะ แต่ก็เฟคว่ารักกันอยู่) ซึ่งทั้งหมดที่เขียนมานี้ ก็สรุปรวมจากประสบการณ์หลากหลายของตัวเอง เพื่อนๆ รุ่นน้อง ผสมๆกัน จะได้ไม่ต้องมาปรึกษากันทุกปีตั้งแต่กูอายุ 20 จนจะ 30 ละ ก็ยังมาถามกันอยู่ อ้ะ! งั้นเขียนเก็บไว้เลยละกัน  ใครมาถามอีกจะได้ส่งให้ทีเดียว


“ทำไมไม่ไหว้พี่”
เจอคำถามแบบนี้ ไม่ต้องถามหาความเคารพต่อไป คนนี้ใคร? แค่หัวโล้นไม่เรียกพระนะ เป็นพ่อแม่หน้าก็ไม่เหมือนกู ครูก็ไม่ใช่ บุญคุณอะไรก็ไม่มีต่อกัน มาสั่งให้ไหว้ซะงั้น บ้าป่าวว!! ขาดความอบอุ่นเหรอ? น้องหัวกบฏเกลียดแต่แรกเห็นแน่นอน เจอรุ่นพี่แบบนี้ไม่ต้องคิดมาก เขาแค่ต้องการแสดงแสนยานุภาพโดยการสั่ง (Order) โดยเอาอาวุโส (Seniority) และประเพณีไทย (Tradition) มาอ้างไปงั้น น้องก็เล่นละครฉากใหญ่ทำท่ารู้สึกผิดตกใจ แล้วปรี่เข้าไปยกมือไหว้สวยๆใส่เขาหนึ่งที ให้พี่สบายใจ เพราะถ้าขาดพวกน้องไป โพรงคอนกรีตยังมีคนไปไหว้มากกว่าเขาด้วยซ้ำ คิดเสียว่าสงสารพี่เขาก็แล้วกันนะน้องเอ๊ย


รออะไรล่ะ ไหว้พี่สิน้อง!!
-พี่คอน กรีตเอง ปี3-

“ป้ายชื่อไปไหน” 
เสียงตะโกนจากรุ่นพี่ผู้คุ้มกฎจากอีกฝั่งของตลาดนัด ที่ทำให้รุ่นน้องที่กำลังขอน้ำจิ้มไก่ทอดเพิ่มจากแม่ค้าต้องสะดุ้งเฮือก งานนี้ถ้าเจอรุ่นน้องสายอ่อน ก็จะตอบจ๋อยๆไปว่า "ขอโทษค่ะ / ลืมครับ" แต่หัวกบฏขอแนะนำว่าให้ถือโอกาสนี้ตีสนิทไปเลย ขอโทษเป็นมารยาทสักหนึ่งที แล้วชวนคุยต่อเลย ลองถามดูก็ได้ว่าให้แขวนป้ายชื่อทำไม ใครเป็นคนคิด ตอนพี่เป็นน้องพี่ทำไง แล้วปิดท้ายด้วยไก่ใต้โต๊ะสักไม้นึง ก็จบวันได้สวยๆแล้ว แต่ความจริงหัวกบฏไม่มีปัญหากับการแขวนป้ายชื่อหรอกนะ ถ้าเข้าใจว่าเป็นกิจกรรมที่ทำเพื่อให้รู้จักกันเร็วขึ้นซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่รุ่นพี่มักไม่ค่อยตอบแบบนี้ เอะอะโบ้ยประเพณี (Tradition) ตลอด  ซึ่งปัญหาของการแขวนป้ายชื่อมันอยู่ที่ความพอดี ที่ต้องตั้งคำถามหน่อยว่า จำเป็นมั้ยที่ต้องให้แขวนป้าย 24 ชั่วโมง เอาแค่เฉพาะเวลาราชการได้ป้ะ!? โอเค..เรียนคณะเดียวกันควรรู้ชื่อกัน แต่คนอื่นอย่างพ่อค้าทุเรียนที่ตลาดเงี้ย จำเป็นต้องรู้ด้วยเหรอ!!!? ขอความพอดีหน่อยได้มั้ยพี่


อยากให้พ่อค้าแขวนป้ายชื่อให้จุง

“ทำไมวันนี้มาไม่ครบ” 
เสียงดุดันเหี้ยมเกรียมเคร่งเครียด อันเป็นคำถามเริ่มต้นกิจกรรมที่จะปลุกความเป็นหนึ่งเดียว (Unity) และจิตวิญญาณในตัวน้องๆ (Spirit) ที่พร้อมจะพังทันทีถ้ารุ่นพี่คุมเกมไม่เป็น การตั้งคำถามเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องเป็นไปด้วยความอยากรู้ ต้องการคำตอบ  และพร้อมรับฟังเหตุผล  ไม่ใช่ถามเพื่อหาเรื่องและมีคำตอบในใจที่ฟังไม่ขึ้นอยู่แล้ว น้องหัวกบฏมักดูออกและไม่ชอบพฤติกรรมรุ่นพี่ที่เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่แสดงแสนยานุภาพเบอร์นี้  สิ่งที่รุ่นพี่ควรเข้าใจ แต่มีน้อยคนที่เข้าใจคือ ยุคสมัยนี้ ไม่เหมือนสมัยก่อนที่พ่อแม่ไม่มีเงินส่งก็ไม่ต้องเรียน แต่เด็กหลายคนดิ้นรนหาเงินส่งเสียตัวเองเรียนเอง ดังนั้น น้องบางคนไม่ได้มีชีวิตแค่เรียน เรียน เรียน อย่างเดียว หลายคนฐานะทางบ้านไม่ดี ต้องทำงานไปด้วย ก็ต้องโชว์กึ๋นแยกให้ออกว่าระหว่าง “เงิน” กับ “ความสามัคคี” อะไรจะทำให้ชีวิตอยู่รอดได้มากกว่ากัน  ไม่ใช่เอะอะอ้าง “รุ่น” อ้าง “เพื่อน” อ้าง “คณะ” อ้าง “สถาบัน” ซึ่งข้ออ้างพวกนี้แหละ ที่ทำให้ “ห้องเชียร์” กลายเป็นห้องแห่งความลับที่น่ารังเกียจสยดสยอง ทั้งที่ความจริงแล้ว “ห้องเชียร์” หากตกอยู่ในความดูแลของรุ่นพี่ที่ “เล่นเป็น” จะมีประโยชน์ในการฝึกฝน เพื่อปรับเปลี่ยนคนให้มีบุคลิกนิสัยตรงกับสายวิชาชีพที่เรียน ซึ่งก็คงบอกหรือการันตีไม่ได้ว่ามีสถาบันไหนบ้างที่ “เล่นเป็น” เพราะกฎห้องเชียร์เขาเคร่งครัดนักหนา แต่ละที่เขาสั่งกันไว้ว่าห้ามเผยแพร่ไปข้างนอก เพราะงั้นน้องหัวกบฏก็อย่าเพิ่งอคตินะ ลองเข้าร่วม แล้วเปิดใจให้เต็มที่ก่อน แล้วถ้าชอบไม่ชอบจะยังไงก็ตามใจเลย


เข้ามาเถอะรอน!! ทุกคนรอนายอยู่
-น้องแฮ รี่เอง ปี1

“ถ้ามีคนนึงมาสาย ทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกัน” 
ฮัลโหลลลล นี่ยังอยู่โรงเรียนประถมกันเหรอ เคยเจ็บปวดกับ “การโดนตีทั้งห้อง” ทั้งที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดเลยมั้ย? เป็นเด็กดีมาตลอด แล้วทำไมต้องโดนตีด้วยด้วย อย่ามาอ้างความรับผิดชอบร่วมกัน (Unity) ไร้สาระสิ้นดี วิธีแบบนี้ถามหน่อยว่ามีใครได้ประโยชน์บ้าง ชีวิตทุกคนต้องมีธุระฉุกเฉินที่เลี่ยงไม่ได้มั้ย? โลกความจริงมีโทรศัพท์นะ ฟังเหตุผลด้วยได้ป้ะ? แบบนี้เท่ากับโยนบาปและความเกลียดชังของทุกคนไปที่คนต้นเรื่องคนเดียวเลยนะ การโดนลงโทษร่วมกัน มันคนละเรื่องกับความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อันนี้รุ่นพี่ต้องแยกให้ออก อย่าเอาเหตุผล Non-Sense แบบนี้มาบอกน้องหัวกบฏ ให้ต้องหัวเราะในใจเลย เจอแบบนี้ถ้าน้องหัวกบฏไม่ใช่คนต้นเรื่อง รับรองโดนป่วนแน่นอน เอาสิ ไหนๆก็จะลงโทษกันทั้งหมดแล้ว โดนมากโดนน้อยต่างกันตรงไหน ถ้าไม่ทำแล้วจะยังไง เจอแบบนี้รุ่นพี่ทำไงดีล่ะ หาเหตุผลดีๆมาตอบน้องให้ได้นะ


เกลียดกันตั้งแต่ป.3 แน่นอน



“ถ้าทำไม่ได้ ไม่นับรุ่นนะ” 
คำพูดส่งท้ายสายโหด ก่อนจะเข้าสู่หมวดปลอบประโลมหากกิจกรรมสำเร็จ แต่น้องหัวกบฏขอรู้เงื่อนไขที่พี่จะให้ทำก่อนได้ป้ะ คือไม่มีปัญหานะถ้าไม่ขัดต่อกฎหมาย ไม่กระทบต่อสุขภาพร่างกาย ไม่ขายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เต็มที่เลยพี่ แต่บอกตรงๆกิจกรรมรับรุ่นลักษณะนี้ ถ้าซวยไปเจอรุ่นพี่ที่ควบคุมเป็นคนคิดน้อย แนะนำให้น้องเตรียมถอยได้เลยจ้า เพราะเขาจะให้น้องทำสิ่งที่ยากลำบาก ที่ไม่มีคนปกติเขาทำกัน ที่ถ้าทำแล้วต้องลำบากใจสุดๆ  โดยอ้าง “ใจ” เป็นที่ตั้ง โดยที่ไม่สนใจสภาพแวดล้อมอย่างอื่นเลย เอะอะอะไร ใจๆ ไว้ก่อน เคยได้ยินมั้ยเสียงเชียร์ที่ร้องว่า สปิริต สปิริต สปิริต!! สปิริต สปิริต สปิริต!! แบบนั้นแหละ อย่าลืมว่าพี่ที่คุมเกม อายุห่างจากเราแค่ไม่กี่ปี ประสบการณ์ชีวิตคงไม่หนีกันมาก ความคึกคะนองมีมากกว่าความรอบคอบปลอดภัย ถ้าน้องไม่ทำหรือทำไม่ได้ ก็แค่ไม่นับรุ่นเท่านั้น (แต่เรียนจบได้นะ) ก็เลือกเอาเองแล้วกัน ถ้ามันอันตรายมากๆ ได้รุ่นพร้อมโลง ไม่เอาด้วยหรอกนะ


สปิริต สปิริต สปิริต!!!


คร่าวๆก็ประมาณนี้แหละ.. ถ้าจะสรุปรวบจากทั้งหมดเลยก็คือ รุ่นพี่ไม่ต้องแสดงแสนยานุภาพ พลังอำนาจอะไรมาก อายุห่างกันแค่ไม่กี่ปี ทำตัวตามสบาย ตามปกติไปแหละ เดี๋ยวความรักความเคารพมันก็เกิดเอง ทีนี้จะสั่งสอนจะพูดอะไรไป มันก็มีน้ำหนักทั้งนั้น เพราะความสัมพันธ์มันเริ่มจากความรัก มันดีกว่าความสัมพันธ์ที่เริ่มจากความเกลียดเสมอแหละ

** ตอนต่อไป น่าจะเป็นเรื่องการดีลกับ "พี่ว้าก" มั้ง เดี๋ยวรอว่างก่อน ค่อยเขียนละกัลล์