ผู้เป็นพ่อเอ่ยไม่อยากให้ไป แม้ว่าจะไปพักที่บ้านญาติสนิทก็ตาม จึงเกิดการโต้เถียงกันยกใหญ่ และจบท้ายด้วยชัยชนะของลูก ด้วยเหตุผลว่าไม่อยากถูกปิดหูปิดตา และอยากพิสูจน์ว่าแฟนหนุ่มใช้ชีวิตยังไง ถ้าพ่อไม่ให้ไป แล้วไม่ได้ลงเอยกับคนนี้ หรือแต่งงานกันแล้วมีปัญหา พ่อจะรับผิดชอบมั้ย? แล้วจากนั้นแม้บรรยากาศจะไม่มึนตึง แต่พ่อลูกก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย
"พ่อ" จึงได้เล่าเรื่องนี้ให้ญาติสนิทที่ลูกจะไปพักด้วยให้ฟัง บอกว่าให้ช่วยพูดหน่อย โดยส่งแชทไปหา พร้อมกับเหตุผลที่ไม่อยากให้ไปว่า
"คบกันยังไม่นานพอ พ่อแม่ยังไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหน้า พูดคุยเจอตัว รู้ประวัติคร่าวๆจากที่ลูกบอก ลูกน่าจะพามาให้รู้จักกันก่อน ทำแบบนี้ลูกไม่คิดหรือว่า พ่อเป็นห่วงชื่อเสียง คนอื่นเขาจะมองลูกพ่อว่าเป็นผู้หญิงแบบไหนกัน ดูไม่ดีในสายตาผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ขอให้ช่วยยับยั้งหน่อย อย่าใจร้อน ถ้าใช่ก็คือใช่ ค่อยๆศึกษานิสัยใจคอ ดูกันไปยาวๆก่อน"
-------- ญาติจึงส่งต่อข้อความทั้งหมดนี้ให้กับลูกสาว --------
ฝ่าย "ลูกสาว" เมื่อได้ข้อความ จึงนำเรื่องนี้ไปเล่าให้ "เพื่อนสนิทข้างบ้าน" ที่โตมาด้วยกันฟังว่า
"ทำไมพ่อถึงไม่เข้าใจทั้งที่อุตส่าห์บอกตรงๆแบบไม่โกหกแล้ว อีกอย่างอายุก็ไม่น้อยแล้ว เรียนจบ มีอาชีพหน้าที่การทำ ทำไมพ่อถึงยังห้ามด้วย"เพื่อนแนะนำว่า
"พ่อแกเป็นห่วงแหละ แต่เมื่อเทียบกับหลายครอบครัว พ่อแกเปิดใจมากแล้วนะ แกก็แค่ให้พี่เขามารู้จักกับพ่อ มาเจอพ่อ มาขออนุญาตพ่อ แค่นี้ก็พ่อก็โอเคแล้ว"
ลูกจึงกลับไปคุยกับพ่ออีกครั้ง แล้วกลับมาอัพเดตเพื่อนอย่างแจ่มใสในรุ่งเช้าว่า เคลียร์กันเรียบร้อยจบลงด้วยดี สบายใจแล้วทั้งสองฝ่าย โดยสรุปให้เพื่อนฟังว่า
“จะไม่ไปเที่ยวแล้ว เพื่อความสบายใจของพ่อ และจะไม่ไปไหนกับผู้ชายอีกแล้ว ไม่ทำให้ภาพลักษณ์ตัวเองไม่ดี ไม่ยุ่งกับผู้ชาย และเลิกคบผู้ชาย”แต่กลับทำให้พ่อหนักใจมากขึ้น กลัวจะเป็นสาเหตุให้ลูกสาวต้องเลิกกับแฟน ไม่อยากให้ลูกรู้สึกว่าโดนกีดกันและสงสัยว่านี่คือการประชดหรือเปล่า? ลูกสาวก็บอกว่า
"ไม่ได้ประชด แต่รู้สึกแบบนี้จริงๆ เพราะถ้าคบกันแล้วทำให้ต้องอึดอัด ลูกก็จะเลิก ลูกเป็นคนโกหกไม่เป็น ไม่อยากโกหก แต่ถ้าไม่โกหก แล้วพ่อไม่สบายใจ ไม่ไปก็ได้แต่ความสัมพันธ์กับแฟนก็อาจลดลง พ่อก็ไม่สบายใจอีก งั้นลูกจะทำในสิ่งที่พ่อสบายใจแล้วกัน ซึ่งเมื่อพ่อได้ยินคำยืนยันแบบนั้น ก็หัวเราะ แล้วบอกว่าไปเลย ไม่ห้ามแล้ว เป็นการหัวเราะทั้งสองฝ่าย รู้สึกสบายใจจริงๆ"
ฝ่ายเพื่อน จึงบอกไปว่า
"ทำไมเรารู้สึกเหมือนแกกำลังกดดันพ่อ ทำให้พ่อรู้สึกว่าตัวเองเป็นต้นเหตุของการพังความสัมพันธ์ของลูกวะ แล้วก็มาบอกตอนจบว่าตามใจนะ ลูกจะทำตามความสบายใจของพ่อ เราว่าพ่อแกยิ้มในหน้าแต่น้ำตาไหลข้างในว่ะ เหมือนแกใช้ความรักของพ่อบังคับให้พ่อต้องอนุญาตให้แกไปเที่ยวได้อย่างสบายใจเลยอ้ะ"
ฝ่ายลูกสาว เมื่อทราบความคิดเพื่อนดังนั้น จึงพูดกับเพื่อนไปว่า
"แกจะพูดให้เราเครียดทำไมทั้งที่เรากับพ่อคุยเป็นชั่วโมง แล้วก็รู้สึกสบายใจจริงๆแล้ว ที่เราเล่าให้แกฟัง มันเป็นการสรุป แกไม่รู้อารมณ์ขณะที่คุย เราไม่โทษพ่อเรา แต่เราโทษความคิดเห็นหัวโบราณของพ่อ เราแคร์พ่อเราจริงๆ เราเซนซิทีฟเรื่องครอบครัว เราเป็นครอบครัวเดียวกัน เราดูกันออก พูดคุยเปิดเผยอยู่แล้ว พ่อเรายังขอบคุณเราที่บอกความจริง ไม่โกหก เราเล่าเรื่องแฟนเราให้พ่อฟังทุกอย่าง แล้วเราก็ได้รู้ว่าพ่อเราใส่ใจในรายละเอียดชีวิตเราขนาดไหน"
ฝ่ายเพื่อน เมื่อได้ยินการตัดพ้อแบบนั้นจึงได้แต่เอ่ยไปว่า
"เราเห็นอะไรบางอย่าง เลยแนะนำไปตามมุมมองที่เห็น เรารู้จักกันมานาน เล่นกันมาแต่เด็ก มีอะไรก็พูดกันตรงๆ ทั้งหมดคือเพราะเป็นห่วง แล้วก็ขอโทษหากมันจะล้ำเส้นไป แต่การตัดสินใจยังไงก็แล้วแต่แกอยู่แล้ว"
--------------------- แล้วเรื่องนี้ จบยังไง!!? ---------------------
เรื่องนี้ "ไม่มีตอนจบ" ไม่มีคนผิด ไม่มีคนถูก ไม่มีใครรู้ว่าจริงๆแล้วตัวละครแต่ละตัว คิดอย่างไร เขากำลังหลอกเรา หรือหลอกตัวเองอยู่ก็ได้ แต่ในทุกเรื่องราวเมื่อเล่าต่อไปถึงบุคคลที่สาม ตัวละครเหล่านั้นล้วนถูก "ตัดสิน" ไปแล้วทั้งสิ้น อยู่ที่ว่าเขาจะบอกมั้ย ว่าเขาตัดสินอย่างไร แล้วคุณจะยอมรับคำตัดสินนั้นได้หรือไม่
- พ่อหัวโบราณ อาจเป็นคนเดียวกับพ่อที่เปิดกว้างในเรื่องความสัมพันธ์ของลูกมากที่สุดก็ได้
- ลูกที่เห็นผู้ชายดีกว่าพ่อ อาจเป็นคนเดียวกับลูกที่อย่างน้อยก็ไม่เคยโกหกพ่อก็ได้
- เพื่อนขี้เสือก ก็อาจเป็นคนเดียวกับเพื่อนที่คอยช่วยเหลือเพื่อนอย่างถึงที่สุดก็ได้
แล้วคุณล่ะ!!? จะเลือกวิธีการแบบไหน
ถ้าต้องเป็นตัวละครที่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ??
No comments:
Post a Comment