Friday, February 17, 2017

วันแรกที่แม่ป่วยกับการตัดสินใจ สติและเงินสำคัญเสมอ


“แม้ผู้ป่วยทุกคนจะมีสิทธิฉุกเฉิน เข้ารักษาก่อนได้ทุกที่ แต่สุดท้ายก็ต้องไปลุ้นอยู่ดีว่าหน้างานจะเป็นแบบไหน
เพราะงั้นโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด ถ้าคุณไม่มีสิทธิการรักษาในโรงพยาบาลนั้นก็ได้”

ย้อนกลับไปวันที่แม่เราป่วย มีรพ.อย่างน้อย 2 แห่งที่ใกล้กว่า รพ.ที่เราเลือกเอาแม่ไปส่ง...

“เนี่ย.. ถ้าตอนนั้นเอาไปส่งรพ.
xxx ก็ไม่หนักขนาดนี้หรอก” คนแถวละแวกบ้าน กล่าว.
เราได้แต่ยิ้มอ่อนกลับไป เพราะเห็นประโยชน์อะไรที่จะชี้แจง “การวิเคราะห์หลังเกมจบ..ง่ายเสมอ”

วินาทีที่เราเรียกแล้วแม่ไม่ตอบ หันไปที่นั่งข้างคนขับแล้วเห็นแม่คอตก แขนกระตุกเปะปะ
เรารู้แน่ชัดว่า “ความชิบหาย” ได้เกิดขึ้นแล้ว และสิ่งที่เราคิดต่อมาคือ “แม่คนเดิมจะไม่อยู่กับเราอีกแล้ว”
ระยะห่างระหว่างรพ.ที่ใกล้ที่สุด กับ รพ.ที่เราพาแม่ไปส่ง กะคร่าวๆน่าจะใช้เวลาขับรถต่างกันประมาณ 10-20 นาที
คนทั่วไปมักพูดกันว่า “ความเป็นตายของคนป่วย แค่เสี้ยววินาทีก็สำคัญ”
แต่เราในตอนนั้น กลับคิดว่ามันไม่ทันแล้ว เพราะงั้น จะต่างกันแค่ 10 หรือ 20 นาที ก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป

“เราเสียแม่ไปแล้ว เราจะไม่ยอมเสียอะไรโดยไม่จำเป็นอีก” ...ในหัวเราคิดแบบนี้จริงๆ

เราเลือกที่จะไปรพ.ที่แม่มีประวัติ และสิทธิการรักษา รพ.ที่เราคุ้นเคยพื้นที่ รพ.ที่เราพอรู้ระบบของเขา
รพ.ที่เราคิดว่าเราจะคุยกับเจ้าหน้าที่ พยาบาล และหมอรู้เรื่อง 
รพ.ที่จะดูแลแม่เราอย่างต่อเนื่องได้ตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่ต้องรับความเสี่ยงในการส่งตัวไปที่โรงพยาบาลอื่นอีก

“ไม่มีเวลาให้ตกใจหรือเสียใจอีกต่อไป” 
สมองต้องคิดตลอดว่าจะทำยังไงให้ทุกอย่างง่าย จบไว และเกิดผลกระทบต่อการใช้ชีวิตให้น้อยที่สุด

สเต็ปที่ 1 : ช่วยเหลือให้เจ้าหน้าที่รพ.ทำงาน “ง่ายและเร็ว” ที่สุด
เราโทรศัพท์ไปแจ้งอาการแม่กับเขา พูดคุยกันว่าเราจะเอาแม่ไปส่งที่ประตูไหน การสนทนากินเวลาไม่ถึง 5 นาทีก็วางสาย ใช้เวลาระหว่างติดไฟแดงหาบัตรประจำตัวประชาชน บัตรประกันสุขภาพของแม่ทุกใบมาเตรียมไว้ พร้อมจดเบอร์ติดต่อของเราใส่กระดาษแผ่นเล็กๆ มัดรวมอยู่ในซองเดียวกัน

ไม่ถึง 30 นาทีหลังการสิ้นสติของแม่ เราก็เอารถไปเกยยังประตูห้องฉุกเฉินที่มีเจ้าหน้าที่หน้าคุ้นเคยที่รอรับอยู่แล้ว
เรายัดทุกสิ่งที่เตรียมไว้ใส่มือเขา เอ่ยเบาๆว่า “รบกวนด้วยนะคะ”
จากนั้นเอารถไปจอด และมุ่งตรงมายังห้องฉุกเฉิน แสดงตัวต่อเจ้าหน้าที่รพ.
ได้รับแจ้งว่ากำลังปรับสภาพร่างกายให้คงที่ เตรียมทำเอ็กซเรย์สมอง

เรามองผ่านประตูห้องฉุกเฉินไป ก็พบว่าแม่เราได้รับการดูแลอย่างเต็มที่ใน ในระดับเคสฉุกเฉิน
ทุกอย่างในสเต็ปที่ 1 ผ่านไปด้วยดีตามแผนที่คิดไว้

สเต็ปที่ 2 : สรุปจบเงื่อนไข และค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลให้ “ชัดเจน” ที่สุด
หลังแจ้งขั้นตอนการรักษาแม่จบ เราเอ่ยปากถามเรื่องสิทธิการรักษา
เจ้าหน้าที่จึงได้ชี้ทางไปยังฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เรายื่นบัตรทั้งหมดที่แม่มี เพื่อตรวจดูสิทธิว่ามีอะไรบ้าง
ที่เรารู้แน่คือ ประกันสังคมและประกันเอกชน ที่เราไม่ต้องสำรองจ่ายก่อนแน่นอนหากมารพ.นี้
เมื่อเอกสารครบ ตรวจสอบสิทธิ์ทุกอย่าง คอนเฟิร์มเสร็จเรียบร้อย เรายืนยันเจตนากับเจ้าหน้าที่อีกครั้งโดยสรุปว่า

“เราต้องการการรักษาและตัวยาในระดับที่ดีที่สุด โดยขอใช้สิทธิประกันสังคมก่อน 
ในส่วนที่ประกันสังคมไม่ครอบคลุมหรือเกิน ให้โอนไปยังประกันเอกชน 
และถ้าหากยังเกินอีกเราไม่มีปัญหาถ้าต้องจ่ายเงินสด”

เมื่อคอนเฟิร์มทุกอย่างตรงกัน มันก็ง่ายไปอีกขั้น เป็นเวลาเดียวกับที่แม่ถูกเข็นออกมาจากเอ็กซเรย์สมองพอดี
สภาพร่างของแม่ดูดีขึ้นมาก สีหน้าดูโอเคขึ้น แม้จะสงบนิ่ง แต่โดยรวมก็ไม่น่าตกใจเหมือนตอนที่มาถึงใหม่ๆ
2 สเต็ปผ่านไป เรายังคงพอใจ ในระหว่างเดินตามเตียงแม่กลับไปที่ห้องฉุกเฉิน เราคิดถึงสเต็ปที่ 3

สเต็ปที่ 3 : เสถียรภาพด้านการเงินต้องไม่เปลี่ยนแปลง
ที่บ้านเราเป็นบริษัทเล็กๆ ที่มีพนักงานอยู่ 2 คนคือพ่อกับแม่ และแม่คือคนที่มีอำนาจดูแลเรื่องการเบิกจ่ายเงิน การเซ็นเอกสารทุกอย่างของบริษัททั้งหมด.. เราโทรหาสำนักงานบัญชี แจ้งเรื่องให้ทราบโดยคร่าว ว่าเราต้องการเปลี่ยนผู้มีอำนาจในบริษัทจากแม่เป็นเราทั้งหมด เพราะแม่ไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไป ทางนั้นรับทราบและเข้าใจ แจ้งวิธีการและเอกสารทั้งหมดที่เราต้องเตรียมส่งให้เพื่อจะได้ดำเนินเรื่องให้ไวที่สุด รวมถึงการดำเนินการเรื่องทรัพย์สินส่วนตัวของแม่ด้วย เพราะทรัพย์สินของครอบครัวเรา 90% เป็นชื่อของแม่ทั้งหมด



ซึ่งเมื่อเคลียร์สเต็ปนี้ไปได้ เราโคตรโล่งใจเพราะ “เรื่องเงินสำคัญเสมอในทุกสถานการณ์” (สุดท้ายจ่ายส่วนต่างแค่ 40 บาท และได้เงินชดเชยตามสิทธิอีก) จากนั้นก็ได้รับแจ้งผลการตรวจของแม่ว่า “เส้นเลือดในสมองแตก 4 ซม.” เตรียมส่งไอซียู รอหมอสมองประเมินเพื่อผ่าตัด

สเต็ปที่ 4 : บอกคนอื่นอย่างไรให้ “ตกใจ” น้อยที่สุด
หลังจากแม่ถึงมือหมอแล้ว เราเริ่มจดบันทึกใน Note ถึงเวลาแต่ละช่วง ให้เข้าใจง่ายที่สุด แล้วโยนลงเฟสบุค


จากนั้นทยอยบอกญาติๆ เรียงลำดับถึงความสำคัญในการช่วยเหลือหน้างานของเราให้มากที่สุดก่อน ซึ่งก็คือ “คุณน้า” 2 คนของเราเอง ซึ่งโชคดีที่เราคิดถูก เพราะทันทีที่มีคนรู้เรื่อง ก็มีคนมาให้กำลังใจกันเต็มไปหมด ขณะที่แม่รอผ่าตัด เราหลีกเลี่ยงมากที่จะเข้าไปดูแม่ เข้าไปแตะตัวแม่ เพราะเรารู้ตัวเองว่าถ้าเราเข้าไป “เราจะไม่มีสติทำอะไรต่อได้อีก”

แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถูกเรียกให้เข้าไป ให้จับมือแม่บ้าง ให้เรียกชื่อแม่บ้าง ให้บอกบทสวดมนต์ให้แม่บ้าง ฯลฯ บอกตามตรงจุดนั้นเราโคตรอึดอัด แต่ก็เข้าใจในความหวังดี จึงทำได้แค่ขอตัว อ้างว่าต้องไปคุยเรื่องเอกสารกับธุรการ แล้วเดินออกมา ซึ่งคุณน้าเราก็เข้าใจดี ในการเข้าไปดีลกับผู้หวังดีเหล่านั้นแทนให้

สเต็ปนี้ผ่านไปแบบกระท่อนกระแท่น เพราะมันมีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้อยู่เยอะ แต่ก็โอเคแหละ ถือว่าไม่แย่

สเต็ปที่ 5 : ประคับประคองทุกอย่างให้นิ่งที่สุดจนกลายเป็นเรื่องธรรมดา
เมื่อเคลียร์หน้างานที่เป็นเรื่องฉุกเฉินทุกอย่างจบแล้ว การผ่าตัดของแม่ก็เป็นไปได้ด้วยดี ก็ต้องคิดว่าหลังจากนี้จะเป็นไงต่อ ในเมื่อชีวิตก็ต้องเดินต่อไป เราสลับกับพ่อไปอยู่กับแม่ที่รพ. ทุกเช้าเราจะไปเปลี่ยนเวรกับพ่อที่รพ. และทุกเย็นหลังทำงานพ่อก็จะมาเปลี่ยนเวรกับเรา เราซื้อโน้ตบุคเบาๆเครื่องเล็กๆโง่ๆลดราคามา 1 เครื่อง เพื่อเอาไว้เคลียร์งานเก่า และลุยงานบริษัทแทนแม่ โชคดีที่คุณย่ายังแข็งแรง และมีคุณป้าแท้ๆ ที่มาช่วยดูแลงานบ้านให้อย่างเต็มตัว 

เราหมั่นอัปเดตรูปภาพ และอาการของแม่ลงเฟสบุคเรื่อยๆ... ทำทุกอย่างให้ดูปกติที่สุด เพราะเราคิดไปเองว่า คงมีคนเป็นห่วงเยอะ

 

ซึ่งไอ้ทุกอย่างที่ทำเหมือนว่ากูโอเคอ้ะ คือหลอกทั้งนั้น และถ้าถามต่อว่าทุกวันนี้โอเคมั้ย ก็บอกเลยว่า “ไม่โอเคหรอก”
แต่ก็นั่นแหละ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด แล้วถ้ามันเกิดไปแล้ว แล้วเป็นเรื่องชิบหาย “คนที่อยู่รอด คือคนที่ปรับตัวได้” ว่ะ



ย้อนกลับไปที่ประโยคต้นเรื่องว่า “โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด ถ้าคุณไม่มีสิทธิการรักษาในโรงพยาบาลนั้น” เพราะจาก 5 สเต็ปที่เขียนมานี้มันเกิดขึ้นได้และผ่านไปอย่างราบรื่นเพราะเราตัดสินใจมาที่รพ.นี้. แทนที่จะไปรพ.ที่ใกล้กว่า เพราะเหตุผลด้านมาตรฐานที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ของประเทศเรานั่นแหละ “เจอคนดีก็ดีไป เจอคนไม่ใส่ใจก็ซวย” เท่านี้แหละจ้ะ

Monday, August 29, 2016

เพลงสรรเสริญพระบารมี โรงหนัง และการลุกขึ้นยืน

ก่อนจะอ่านเนื้อหาต่อไปนี้ ...
ทุกท่านไม่จำเป็นต้องลุกขึ้นยืนถวายความเคารพ โดยพร้อมเพรียงกัน
การแปะวีดีโอเพลงสรรเสริญพระบารมีครั้งนี้ เพราะชอบเวอร์ชั่นนี้และอยากเก็บไว้เท่านั้น



คอภาพยนตร์ทั้งไทยและเทศ คงทราบกันดีว่าทุกครั้งก่อนภาพยนตร์เริ่มฉาย ทุกเรื่องทุกโรงจะต้องฉายเพลงสรรเสริญพระบารมี พร้อมข้อความเชิญชวนให้ผู้ชมลุกขึ้นยืนตรง เพื่อแสดงความเคารพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ (aka พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว)

ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่แต่เฉพาะการฉายภาพยนตร์เท่านั้น แต่หมายถึง “ทุกมหรสพ” ที่ก่อนเริ่มการแสดง จะต้องมีการบรรเลง หรือฉายเพลงสรรเสริญพระบารมีก่อนเสมอ แม้จะไม่ได้มีบัญญัติบังคับเป็นข้อกฎหมาย แต่โรงมหรสพทุกที่ก็ได้ทำสืบเนื่องกันจนกลายเป็น “จารีต” (น.ประเพณีที่สืบต่อกันมานาน, พจนานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน)

ส่วนที่มาแต่แรกเริ่มว่าทำไมต้องมี เท่าที่สืบค้นจากหลายที่ ท่านผู้รู้ คนเฒ่าคนแก่เล่ามา หรือจดหมายเหตุฯ ก็ยังไม่มีข้อมูลไหนที่ให้ตรงกัน บ้างว่าจากรัชกาลที่ 5 บ้างว่ารับมาจากสิงคโปร์ บ้างว่าสมัยจอมพลป. หรือบ้างว่าแค่ต้องการให้คนรู้ว่ามหรสพกำลังจะเริ่มแล้วเท่านั้น หรือบางท่านก็ทันในยุคที่เปิดเป็นเพลงสุดท้ายหลังมหรสพทุกสิ่งจบ อันตัวเราผู้ไม่รู้ จึงขออนุญาตกล่าวข้ามจุดนี้ไปที่เหตุการณ์ก็แล้วกัน

ตัดกลับมาที่ยุคปัจจุบัน เริ่มมีคนตั้งคำถามกับเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงภาพยนตร์ ว่า ผิดหรือไม่ หากเลือกที่จะถือป๊อปคอร์นไว้แล้ว “ไม่ลุกขึ้นยืนแสดงความเคารพจงรักภักดี”

- ฝ่ายที่ตอบว่าผิด ได้ยกเหตุผลด้านจารีตสังคม ความรักชาติ-กษัตริย์ มาตำหนิ
- ฝ่ายที่ตอบว่าไม่ผิด ก็ได้อ้างเหตุผลด้านยุคสมัย สิทธิ เสรีภาพส่วนบุคคล มาโต้กลับ

กลายเป็นเหตุให้ทะเลาะกันมากกว่าจะแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพราะแต่ละฝ่ายได้มี “ธง” ของตัวเองไว้แล้ว และเป็นธงหลักที่อีกฝ่ายจะ “แตะต้องไม่ได้”

อ่านที่ทุ่มเถียงกันมาก็เยอะ “เรา” ผู้นิยมในสิทธิเสรีภาพและชอบตั้งคำถาม แต่ก็ลุกขึ้นยืนทุกครั้งที่โรงหนังฉายเพลงสรรเสริญพระบารมี ก็เลยขอถามต่อทั้งสองฝ่ายกลับบ้างว่า..

ฝ่ายที่นิยมการไม่ลุกขึ้นยืน
- การขอความร่วมมือให้ “ลุกขึ้นยืน” เพียงแค่ 2-3 นาที มันสร้างความลำบาก และเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลขนาดนั้นเลยหรือ ??

และฝ่ายที่นิยมการลุกขึ้นยืน
- การมองข้ามผ่านคนที่ “ไม่ลุกขึ้น” ยืนเพียงแค่ 2-3 นาที มันทำให้รู้สึกอึดอัด และตัดสินเขาว่าเป็นคนไม่ดี ไม่รักชาติ ไม่รักสถาบัน แบบนี้ก็ได้เลยหรือ ??

แต่ก็ไม่เคยได้คำตอบอะไรกลับมาเลย…

Sunday, August 28, 2016

พ่อหัวโบราณ กับ ลูกสาวแสนดี และเพื่อนที่ไม่ได้ดั่งใจ

ครอบครัวหนึ่งอยู่กันแบบอบอุ่น พ่อแม่ลูก ตั้งแต่เล็กยันโต ลูกสาวที่น่ารักของพ่อเป็นเด็กดีอยู่ในโอวาทมาโดยตลอด ไม่เคยโกหกปิดบัง หรือทำให้พ่อต้องเจ็บช้ำน้ำใจเลย เวลาผ่านไปเกือบ 30 ปี ลูกสาวคนดีของพ่อมาขออนุญาตไปเที่ยวต่างประเทศกับผู้ชายที่รู้จักและคบกันเป็นแฟนมาได้เดือนครึ่งแบบสองต่อสอง เป็นเวลา 4 วัน




ผู้เป็นพ่อเอ่ยไม่อยากให้ไป แม้ว่าจะไปพักที่บ้านญาติสนิทก็ตาม จึงเกิดการโต้เถียงกันยกใหญ่ และจบท้ายด้วยชัยชนะของลูก ด้วยเหตุผลว่าไม่อยากถูกปิดหูปิดตา และอยากพิสูจน์ว่าแฟนหนุ่มใช้ชีวิตยังไง ถ้าพ่อไม่ให้ไป แล้วไม่ได้ลงเอยกับคนนี้ หรือแต่งงานกันแล้วมีปัญหา พ่อจะรับผิดชอบมั้ย? แล้วจากนั้นแม้บรรยากาศจะไม่มึนตึง แต่พ่อลูกก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย






"พ่อ" จึงได้เล่าเรื่องนี้ให้ญาติสนิทที่ลูกจะไปพักด้วยให้ฟัง บอกว่าให้ช่วยพูดหน่อย โดยส่งแชทไปหา พร้อมกับเหตุผลที่ไม่อยากให้ไปว่า 
"คบกันยังไม่นานพอ พ่อแม่ยังไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหน้า พูดคุยเจอตัว รู้ประวัติคร่าวๆจากที่ลูกบอก ลูกน่าจะพามาให้รู้จักกันก่อน ทำแบบนี้ลูกไม่คิดหรือว่า พ่อเป็นห่วงชื่อเสียง คนอื่นเขาจะมองลูกพ่อว่าเป็นผู้หญิงแบบไหนกัน ดูไม่ดีในสายตาผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ขอให้ช่วยยับยั้งหน่อย อย่าใจร้อน ถ้าใช่ก็คือใช่ ค่อยๆศึกษานิสัยใจคอ ดูกันไปยาวๆก่อน"

-------- ญาติจึงส่งต่อข้อความทั้งหมดนี้ให้กับลูกสาว --------




ฝ่าย "ลูกสาว" เมื่อได้ข้อความ จึงนำเรื่องนี้ไปเล่าให้ "เพื่อนสนิทข้างบ้าน" ที่โตมาด้วยกันฟังว่า
"ทำไมพ่อถึงไม่เข้าใจทั้งที่อุตส่าห์บอกตรงๆแบบไม่โกหกแล้ว อีกอย่างอายุก็ไม่น้อยแล้ว เรียนจบ มีอาชีพหน้าที่การทำ ทำไมพ่อถึงยังห้ามด้วย"
เพื่อนแนะนำว่า 
"พ่อแกเป็นห่วงแหละ แต่เมื่อเทียบกับหลายครอบครัว พ่อแกเปิดใจมากแล้วนะ แกก็แค่ให้พี่เขามารู้จักกับพ่อ มาเจอพ่อ มาขออนุญาตพ่อ แค่นี้ก็พ่อก็โอเคแล้ว"





ลูกจึงกลับไปคุยกับพ่ออีกครั้ง แล้วกลับมาอัพเดตเพื่อนอย่างแจ่มใสในรุ่งเช้าว่า เคลียร์กันเรียบร้อยจบลงด้วยดี สบายใจแล้วทั้งสองฝ่าย โดยสรุปให้เพื่อนฟังว่า 
“จะไม่ไปเที่ยวแล้ว เพื่อความสบายใจของพ่อ และจะไม่ไปไหนกับผู้ชายอีกแล้ว ไม่ทำให้ภาพลักษณ์ตัวเองไม่ดี ไม่ยุ่งกับผู้ชาย และเลิกคบผู้ชาย”
แต่กลับทำให้พ่อหนักใจมากขึ้น กลัวจะเป็นสาเหตุให้ลูกสาวต้องเลิกกับแฟน ไม่อยากให้ลูกรู้สึกว่าโดนกีดกันและสงสัยว่านี่คือการประชดหรือเปล่า? ลูกสาวก็บอกว่า
"ไม่ได้ประชด แต่รู้สึกแบบนี้จริงๆ เพราะถ้าคบกันแล้วทำให้ต้องอึดอัด ลูกก็จะเลิก ลูกเป็นคนโกหกไม่เป็น ไม่อยากโกหก แต่ถ้าไม่โกหก แล้วพ่อไม่สบายใจ ไม่ไปก็ได้แต่ความสัมพันธ์กับแฟนก็อาจลดลง พ่อก็ไม่สบายใจอีก งั้นลูกจะทำในสิ่งที่พ่อสบายใจแล้วกัน ซึ่งเมื่อพ่อได้ยินคำยืนยันแบบนั้น ก็หัวเราะ แล้วบอกว่าไปเลย ไม่ห้ามแล้ว เป็นการหัวเราะทั้งสองฝ่าย รู้สึกสบายใจจริงๆ"

ฝ่ายเพื่อน จึงบอกไปว่า 
"ทำไมเรารู้สึกเหมือนแกกำลังกดดันพ่อ ทำให้พ่อรู้สึกว่าตัวเองเป็นต้นเหตุของการพังความสัมพันธ์ของลูกวะ แล้วก็มาบอกตอนจบว่าตามใจนะ ลูกจะทำตามความสบายใจของพ่อ เราว่าพ่อแกยิ้มในหน้าแต่น้ำตาไหลข้างในว่ะ เหมือนแกใช้ความรักของพ่อบังคับให้พ่อต้องอนุญาตให้แกไปเที่ยวได้อย่างสบายใจเลยอ้ะ"

ฝ่ายลูกสาว เมื่อทราบความคิดเพื่อนดังนั้น จึงพูดกับเพื่อนไปว่า 
"แกจะพูดให้เราเครียดทำไมทั้งที่เรากับพ่อคุยเป็นชั่วโมง แล้วก็รู้สึกสบายใจจริงๆแล้ว ที่เราเล่าให้แกฟัง มันเป็นการสรุป แกไม่รู้อารมณ์ขณะที่คุย เราไม่โทษพ่อเรา แต่เราโทษความคิดเห็นหัวโบราณของพ่อ เราแคร์พ่อเราจริงๆ เราเซนซิทีฟเรื่องครอบครัว เราเป็นครอบครัวเดียวกัน เราดูกันออก พูดคุยเปิดเผยอยู่แล้ว พ่อเรายังขอบคุณเราที่บอกความจริง ไม่โกหก เราเล่าเรื่องแฟนเราให้พ่อฟังทุกอย่าง แล้วเราก็ได้รู้ว่าพ่อเราใส่ใจในรายละเอียดชีวิตเราขนาดไหน"

ฝ่ายเพื่อน เมื่อได้ยินการตัดพ้อแบบนั้นจึงได้แต่เอ่ยไปว่า 
"เราเห็นอะไรบางอย่าง เลยแนะนำไปตามมุมมองที่เห็น เรารู้จักกันมานาน เล่นกันมาแต่เด็ก มีอะไรก็พูดกันตรงๆ ทั้งหมดคือเพราะเป็นห่วง แล้วก็ขอโทษหากมันจะล้ำเส้นไป แต่การตัดสินใจยังไงก็แล้วแต่แกอยู่แล้ว"

 


--------------------- แล้วเรื่องนี้ จบยังไง!!? ---------------------



เรื่องนี้ "ไม่มีตอนจบ" ไม่มีคนผิด ไม่มีคนถูก ไม่มีใครรู้ว่าจริงๆแล้วตัวละครแต่ละตัว คิดอย่างไร เขากำลังหลอกเรา หรือหลอกตัวเองอยู่ก็ได้ แต่ในทุกเรื่องราวเมื่อเล่าต่อไปถึงบุคคลที่สาม ตัวละครเหล่านั้นล้วนถูก "ตัดสิน" ไปแล้วทั้งสิ้น อยู่ที่ว่าเขาจะบอกมั้ย ว่าเขาตัดสินอย่างไร แล้วคุณจะยอมรับคำตัดสินนั้นได้หรือไม่ 


  1. พ่อหัวโบราณ อาจเป็นคนเดียวกับพ่อที่เปิดกว้างในเรื่องความสัมพันธ์ของลูกมากที่สุดก็ได้ 
  2. ลูกที่เห็นผู้ชายดีกว่าพ่อ อาจเป็นคนเดียวกับลูกที่อย่างน้อยก็ไม่เคยโกหกพ่อก็ได้
  3. เพื่อนขี้เสือก ก็อาจเป็นคนเดียวกับเพื่อนที่คอยช่วยเหลือเพื่อนอย่างถึงที่สุดก็ได้



แล้วคุณล่ะ!!? จะเลือกวิธีการแบบไหน 
ถ้าต้องเป็นตัวละครที่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ?? 



Thursday, August 25, 2016

รุ่นพี่ควรอ่าน รุ่นน้องควรรู้ #1 : ประโยคฮิต




(แปะเพลงก่อน 1 เพลง นี่มั่นใจมาก ว่าสายกิจกรรมเดาถูกแน่นอนว่าเพลงอะไร >_<)


วาระเวียนบรรจบครบอีก 1 ปี สำหรับ "เฟรชชี่" หน้าใหม่ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่รั้วสถาบันใหม่ ปรับตัวกับสังคมและสภาพแวดล้อมใหม่ๆ โดยการต้อนรับอย่างอบอุ่นจาก “รุ่นพี่ผู้น่ารัก” ซึ่งล้างคอรอจัดกิจกรรมให้น้องๆ โดยอาศัยประสบการณ์จากที่เคยเป็นผู้รับมาเมื่อปีที่แล้วเป็นหลัก ซึ่งแต่ละอย่าง แต่ละพฤติกรรม ก็ไม่รู้ว่าจะทำให้ “รักกัน” จริงมั้ย

แต่จากใจจริงนะ คณะเราไม่มีว้าก ไม่มีห้องเชียร์ ตอนปี 1 เรากับเพื่อนยังเกลียดกันแทบตาย
(ตอนนี้ก็ยังเกลียดนะ แต่ก็เฟคว่ารักกันอยู่) ซึ่งทั้งหมดที่เขียนมานี้ ก็สรุปรวมจากประสบการณ์หลากหลายของตัวเอง เพื่อนๆ รุ่นน้อง ผสมๆกัน จะได้ไม่ต้องมาปรึกษากันทุกปีตั้งแต่กูอายุ 20 จนจะ 30 ละ ก็ยังมาถามกันอยู่ อ้ะ! งั้นเขียนเก็บไว้เลยละกัน  ใครมาถามอีกจะได้ส่งให้ทีเดียว


“ทำไมไม่ไหว้พี่”
เจอคำถามแบบนี้ ไม่ต้องถามหาความเคารพต่อไป คนนี้ใคร? แค่หัวโล้นไม่เรียกพระนะ เป็นพ่อแม่หน้าก็ไม่เหมือนกู ครูก็ไม่ใช่ บุญคุณอะไรก็ไม่มีต่อกัน มาสั่งให้ไหว้ซะงั้น บ้าป่าวว!! ขาดความอบอุ่นเหรอ? น้องหัวกบฏเกลียดแต่แรกเห็นแน่นอน เจอรุ่นพี่แบบนี้ไม่ต้องคิดมาก เขาแค่ต้องการแสดงแสนยานุภาพโดยการสั่ง (Order) โดยเอาอาวุโส (Seniority) และประเพณีไทย (Tradition) มาอ้างไปงั้น น้องก็เล่นละครฉากใหญ่ทำท่ารู้สึกผิดตกใจ แล้วปรี่เข้าไปยกมือไหว้สวยๆใส่เขาหนึ่งที ให้พี่สบายใจ เพราะถ้าขาดพวกน้องไป โพรงคอนกรีตยังมีคนไปไหว้มากกว่าเขาด้วยซ้ำ คิดเสียว่าสงสารพี่เขาก็แล้วกันนะน้องเอ๊ย


รออะไรล่ะ ไหว้พี่สิน้อง!!
-พี่คอน กรีตเอง ปี3-

“ป้ายชื่อไปไหน” 
เสียงตะโกนจากรุ่นพี่ผู้คุ้มกฎจากอีกฝั่งของตลาดนัด ที่ทำให้รุ่นน้องที่กำลังขอน้ำจิ้มไก่ทอดเพิ่มจากแม่ค้าต้องสะดุ้งเฮือก งานนี้ถ้าเจอรุ่นน้องสายอ่อน ก็จะตอบจ๋อยๆไปว่า "ขอโทษค่ะ / ลืมครับ" แต่หัวกบฏขอแนะนำว่าให้ถือโอกาสนี้ตีสนิทไปเลย ขอโทษเป็นมารยาทสักหนึ่งที แล้วชวนคุยต่อเลย ลองถามดูก็ได้ว่าให้แขวนป้ายชื่อทำไม ใครเป็นคนคิด ตอนพี่เป็นน้องพี่ทำไง แล้วปิดท้ายด้วยไก่ใต้โต๊ะสักไม้นึง ก็จบวันได้สวยๆแล้ว แต่ความจริงหัวกบฏไม่มีปัญหากับการแขวนป้ายชื่อหรอกนะ ถ้าเข้าใจว่าเป็นกิจกรรมที่ทำเพื่อให้รู้จักกันเร็วขึ้นซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่รุ่นพี่มักไม่ค่อยตอบแบบนี้ เอะอะโบ้ยประเพณี (Tradition) ตลอด  ซึ่งปัญหาของการแขวนป้ายชื่อมันอยู่ที่ความพอดี ที่ต้องตั้งคำถามหน่อยว่า จำเป็นมั้ยที่ต้องให้แขวนป้าย 24 ชั่วโมง เอาแค่เฉพาะเวลาราชการได้ป้ะ!? โอเค..เรียนคณะเดียวกันควรรู้ชื่อกัน แต่คนอื่นอย่างพ่อค้าทุเรียนที่ตลาดเงี้ย จำเป็นต้องรู้ด้วยเหรอ!!!? ขอความพอดีหน่อยได้มั้ยพี่


อยากให้พ่อค้าแขวนป้ายชื่อให้จุง

“ทำไมวันนี้มาไม่ครบ” 
เสียงดุดันเหี้ยมเกรียมเคร่งเครียด อันเป็นคำถามเริ่มต้นกิจกรรมที่จะปลุกความเป็นหนึ่งเดียว (Unity) และจิตวิญญาณในตัวน้องๆ (Spirit) ที่พร้อมจะพังทันทีถ้ารุ่นพี่คุมเกมไม่เป็น การตั้งคำถามเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องเป็นไปด้วยความอยากรู้ ต้องการคำตอบ  และพร้อมรับฟังเหตุผล  ไม่ใช่ถามเพื่อหาเรื่องและมีคำตอบในใจที่ฟังไม่ขึ้นอยู่แล้ว น้องหัวกบฏมักดูออกและไม่ชอบพฤติกรรมรุ่นพี่ที่เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่แสดงแสนยานุภาพเบอร์นี้  สิ่งที่รุ่นพี่ควรเข้าใจ แต่มีน้อยคนที่เข้าใจคือ ยุคสมัยนี้ ไม่เหมือนสมัยก่อนที่พ่อแม่ไม่มีเงินส่งก็ไม่ต้องเรียน แต่เด็กหลายคนดิ้นรนหาเงินส่งเสียตัวเองเรียนเอง ดังนั้น น้องบางคนไม่ได้มีชีวิตแค่เรียน เรียน เรียน อย่างเดียว หลายคนฐานะทางบ้านไม่ดี ต้องทำงานไปด้วย ก็ต้องโชว์กึ๋นแยกให้ออกว่าระหว่าง “เงิน” กับ “ความสามัคคี” อะไรจะทำให้ชีวิตอยู่รอดได้มากกว่ากัน  ไม่ใช่เอะอะอ้าง “รุ่น” อ้าง “เพื่อน” อ้าง “คณะ” อ้าง “สถาบัน” ซึ่งข้ออ้างพวกนี้แหละ ที่ทำให้ “ห้องเชียร์” กลายเป็นห้องแห่งความลับที่น่ารังเกียจสยดสยอง ทั้งที่ความจริงแล้ว “ห้องเชียร์” หากตกอยู่ในความดูแลของรุ่นพี่ที่ “เล่นเป็น” จะมีประโยชน์ในการฝึกฝน เพื่อปรับเปลี่ยนคนให้มีบุคลิกนิสัยตรงกับสายวิชาชีพที่เรียน ซึ่งก็คงบอกหรือการันตีไม่ได้ว่ามีสถาบันไหนบ้างที่ “เล่นเป็น” เพราะกฎห้องเชียร์เขาเคร่งครัดนักหนา แต่ละที่เขาสั่งกันไว้ว่าห้ามเผยแพร่ไปข้างนอก เพราะงั้นน้องหัวกบฏก็อย่าเพิ่งอคตินะ ลองเข้าร่วม แล้วเปิดใจให้เต็มที่ก่อน แล้วถ้าชอบไม่ชอบจะยังไงก็ตามใจเลย


เข้ามาเถอะรอน!! ทุกคนรอนายอยู่
-น้องแฮ รี่เอง ปี1

“ถ้ามีคนนึงมาสาย ทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกัน” 
ฮัลโหลลลล นี่ยังอยู่โรงเรียนประถมกันเหรอ เคยเจ็บปวดกับ “การโดนตีทั้งห้อง” ทั้งที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดเลยมั้ย? เป็นเด็กดีมาตลอด แล้วทำไมต้องโดนตีด้วยด้วย อย่ามาอ้างความรับผิดชอบร่วมกัน (Unity) ไร้สาระสิ้นดี วิธีแบบนี้ถามหน่อยว่ามีใครได้ประโยชน์บ้าง ชีวิตทุกคนต้องมีธุระฉุกเฉินที่เลี่ยงไม่ได้มั้ย? โลกความจริงมีโทรศัพท์นะ ฟังเหตุผลด้วยได้ป้ะ? แบบนี้เท่ากับโยนบาปและความเกลียดชังของทุกคนไปที่คนต้นเรื่องคนเดียวเลยนะ การโดนลงโทษร่วมกัน มันคนละเรื่องกับความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อันนี้รุ่นพี่ต้องแยกให้ออก อย่าเอาเหตุผล Non-Sense แบบนี้มาบอกน้องหัวกบฏ ให้ต้องหัวเราะในใจเลย เจอแบบนี้ถ้าน้องหัวกบฏไม่ใช่คนต้นเรื่อง รับรองโดนป่วนแน่นอน เอาสิ ไหนๆก็จะลงโทษกันทั้งหมดแล้ว โดนมากโดนน้อยต่างกันตรงไหน ถ้าไม่ทำแล้วจะยังไง เจอแบบนี้รุ่นพี่ทำไงดีล่ะ หาเหตุผลดีๆมาตอบน้องให้ได้นะ


เกลียดกันตั้งแต่ป.3 แน่นอน



“ถ้าทำไม่ได้ ไม่นับรุ่นนะ” 
คำพูดส่งท้ายสายโหด ก่อนจะเข้าสู่หมวดปลอบประโลมหากกิจกรรมสำเร็จ แต่น้องหัวกบฏขอรู้เงื่อนไขที่พี่จะให้ทำก่อนได้ป้ะ คือไม่มีปัญหานะถ้าไม่ขัดต่อกฎหมาย ไม่กระทบต่อสุขภาพร่างกาย ไม่ขายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เต็มที่เลยพี่ แต่บอกตรงๆกิจกรรมรับรุ่นลักษณะนี้ ถ้าซวยไปเจอรุ่นพี่ที่ควบคุมเป็นคนคิดน้อย แนะนำให้น้องเตรียมถอยได้เลยจ้า เพราะเขาจะให้น้องทำสิ่งที่ยากลำบาก ที่ไม่มีคนปกติเขาทำกัน ที่ถ้าทำแล้วต้องลำบากใจสุดๆ  โดยอ้าง “ใจ” เป็นที่ตั้ง โดยที่ไม่สนใจสภาพแวดล้อมอย่างอื่นเลย เอะอะอะไร ใจๆ ไว้ก่อน เคยได้ยินมั้ยเสียงเชียร์ที่ร้องว่า สปิริต สปิริต สปิริต!! สปิริต สปิริต สปิริต!! แบบนั้นแหละ อย่าลืมว่าพี่ที่คุมเกม อายุห่างจากเราแค่ไม่กี่ปี ประสบการณ์ชีวิตคงไม่หนีกันมาก ความคึกคะนองมีมากกว่าความรอบคอบปลอดภัย ถ้าน้องไม่ทำหรือทำไม่ได้ ก็แค่ไม่นับรุ่นเท่านั้น (แต่เรียนจบได้นะ) ก็เลือกเอาเองแล้วกัน ถ้ามันอันตรายมากๆ ได้รุ่นพร้อมโลง ไม่เอาด้วยหรอกนะ


สปิริต สปิริต สปิริต!!!


คร่าวๆก็ประมาณนี้แหละ.. ถ้าจะสรุปรวบจากทั้งหมดเลยก็คือ รุ่นพี่ไม่ต้องแสดงแสนยานุภาพ พลังอำนาจอะไรมาก อายุห่างกันแค่ไม่กี่ปี ทำตัวตามสบาย ตามปกติไปแหละ เดี๋ยวความรักความเคารพมันก็เกิดเอง ทีนี้จะสั่งสอนจะพูดอะไรไป มันก็มีน้ำหนักทั้งนั้น เพราะความสัมพันธ์มันเริ่มจากความรัก มันดีกว่าความสัมพันธ์ที่เริ่มจากความเกลียดเสมอแหละ

** ตอนต่อไป น่าจะเป็นเรื่องการดีลกับ "พี่ว้าก" มั้ง เดี๋ยวรอว่างก่อน ค่อยเขียนละกัลล์

Monday, November 9, 2015

รับสิทธิ์ให้แม่ กับเบี้ยยังชีพผู้พิการ

ในเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ถ้าใครไปทำธุระที่สำนักงานเขต ก็จะพบเห็นบรรดาลุงป้าวัยเพิ่งเกษียณหอบหิ้วสังขารตัวเองด้วยใบหน้าแจ่มใส เพื่อไปขึ้นทะเบียนรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ กับอีกกลุ่มคือกลุ่มคนพิการน้องใหม่ที่มาลงทะเบียนเพื่อรับเบี้ยยังชีพคนพิการเช่นกัน โดยเงินที่จะตกถึงผู้สูงอายุและคนพิการนั้นจะใช้คอนเซ็ปเดียวกันคือ 

“ลงทะเบียนปีนี้ รับเงินปีหน้า”

หนึ่งในผู้พิการน้องใหม่ที่ไปลงทะเบียนเพื่อรับเบี้ยยังชีพในปีงบประมาณ 2560 ก็คือแม่เราเอง และเพื่อความชัวร์ที่สุด คนเป็นลูกอย่างเราก็ได้เตรียมการในเรื่องนี้มาตั้งแต่ปีที่แล้ว เนื่องจากค่อนข้างเข็ดขยาดจากการให้บริการของเจ้าหน้าสำนักงานเขต (เลื่อนอ่านได้จากที่เคยเขียนไว้เก่าๆ) เพราะฉะนั้นต้องท่องไว้ในใจว่า “ข้อมูลต้องแน่น หลักฐานต้องพร้อม เอกสารต้องครบ ปัญหามาเมื่อไหร่ ต้องสตรวองและพร้อมไฟท์ทันที!!!

ว่าแล้วก็ลงมือทำเช็คลิสต์เอกสารแบบโง่ๆ ประกอบด้วย
  1. สำเนาบัตรประชาชน-ทะเบียนบ้านของแม่
  2. สำเนาบัตรคนพิการของแม่ (ด้านหลังระบุชื่อผู้ดูแลเป็นชื่อเรา)
  3. สำเนาบัตรประชาชน-ทะเบียนบ้านของเราเอง (เพราะแม่ไม่ได้มาด้วยตัวเอง)
  4. คำสั่งจากศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ให้เราเป็นผู้อนุบาลแม่
  5. สำเนาสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทย

** รับรองสำเนา ระบุธุรกรรมที่ต้องใช้ เซ็นชื่อกำกับให้ครบ 
และอย่าลืมหยิบทุกอย่างที่เป็นฉบับจริงไปเผื่อด้วย **

เลี้ยวรถเข้าสำนักงานเขต พุ่งไปที่จุดประชาสัมพันธ์ ก็พบเซอร์ไพรส์ที่ 1..
มีการตั้งโต๊ะรับลงทะเบียนโดยเฉพาะเลยว่ะ คือดีมาก เป็นสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าระบบราชการจะทำได้ เลยเดินดุ่มเข้าไปเอ่ยปากถามเด็กหนุ่มหัวเกรียนซึ่งน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่อาสาที่นั่งอยู่ที่โต๊ะไปด้วยเสียงเจ็ดว่า 
“มาลงทะเบียนรับเบี้ยคนพิการค่ะ” น้องหนุ่มทำหน้างงๆ ในใจคงสงสัยว่า ..อีนี่พิการตรงไหน? แต่ก็เชื้อเชิญให้นั่งลง พร้อมหยิบเอกสารมาให้กรอก ซึ่งก็เป็นเอกสารฟอร์มลงทะเบียนธรรมดาทั่วไป

กรอกเอกสารเรียบร้อย ก็ถึงขั้นตอนการตรวจสอบเอกสาร ซึ่งแน่นอนว่าผ่านฉลุยแบบไม่มีข้อโต้แย้ง พระเอกของงานนี้คือ เอกสารที่ 4 ในเช็คลิสต์ คือ “คำสั่งศาลฯระบุชื่อให้เราเป็นผู้ทำธุรกรรมแทนแม่” ซึ่งมีฤทธิ์พอๆกับกระบี่อาญาสิทธิ์ของเปาบุ้นจิ้น เอาไปโชว์ที่ไหน คนจะงงก่อนแป๊ปนึง และหลังจากนั้นทุกอย่างก็เป็นเรื่องง่ายทันที 

(ซึ่งคุยกับพี่เจ้าหน้าที่ในชุดข้าราชการแล้วว่าถ้าไม่มีเอกสารนี้จะยุ่งไปอีกหนึ่งเบอร์ เพราะต้องมีการมอบอำนาจอีก ถ้าเซ็นมอบอำนาจไม่ได้ก็ต้องปั๊มลายนิ้วมือ แต่พอมีใบนี้ปุ๊ป หมดทุกข้อสงสัยเลยจ้า)

เมื่อเอกสารทุกอย่างเรียบร้อย ก็ถูกส่งไปที่ส่วนสุดท้าย คือการลงทะเบียนจริง ด้วยวิธีการแบบไท๊ยไทย คือยื่นเอกสารให้เจ้าหน้าที่รับลงทะเบียนอีกครั้ง เพื่อตรวจสอบครั้งสุดท้าย และเขียนบันทึกด้วยลายมือ ออกบัตรสีชมพูให้ 1 ใบ เพื่อแสดงว่าคุณได้มาลงทะเบียนแล้วนะคะ บัตรที่ได้รับก็เป็นกระดาษบางๆไปเคลือบแข็งเอง หน้าตาเช่นนี้ ..
เป็นบัตรที่ทันสมัยมากค่ะ
แล้วก็...เรียบร้อยค่ะ กลับบ้านได้ รอรับเบี้ยเดือนแรก ตุลาคมปีหน้านะคะ

ทุกสิ่งทุกอย่างมันช่างง่ายดายและสะดวกสบายมาก ก่อนกลับจึงแอบถามพี่เจ้าหน้าที่ว่า “จำเป็นด้วยเหรอคะ ที่ต้องใช้บัญชีของธนาคารกรุงไทย?” ได้รับคำตอบว่า “ไม่ได้บังคับ แต่เป็นการขอความร่วมมือมากกว่า เพราะทางเขต (ไม่แน่ใจว่าทุกเขตหรือเปล่า) จะใช้บริการของธนาคารกรุงไทย ซึ่งถ้าหากมีปัญหา ไม่ได้รับเงิน หรือผู้รับเงินเสียชีวิตใดใด จะประสานงานคุยกันได้สะดวกและรวดเร็วกว่าค่ะ” ...ซึ่งเคลียร์ โชคดีที่มีบัญชีกรุงไทย

ส่วนปัญหาที่เจอที่สำนักงานเขตในวันนี้ ก็จะมีแค่เครื่องถ่ายเอกสารที่เสีย ซึ่งถ้าเตรียมเอกสารมาพร้อมก็ไม่มีปัญหา เจ้าหน้าที่จุดตรวจรับเอกสารก็แนะนำดีว่าใกล้ที่สุดมีที่ไหน มีลุงป้ามากมายที่ไม่เข้าใจ ก็ได้รับการอธิบายอย่างใจเย็น กรณีไหนประหลาดหน่อย หรือไมค่อยได้เจอ (อย่างของเรา) พี่เจ้าหน้าที่ผู้หญิงในชุดข้าราชการที่ตรวจเอกสารก็เดินตามมาอธิบายให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายรับลงทะเบียนต่อเข้าใจได้เลยว่าไม่ต้องตรวจเพิ่มแล้ว เพราะเขามีคำสั่งศาลฯมาด้วย ทุกคนเข้าใจตรงกัน ไม่ต้องมีคำถามอะไรต่อ ประชาชนอย่างเรารู้สึกประทับใจมาก และขอบคุณจริงๆ กับเซอร์วิสมายด์ของบรรดาเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตหนองแขมที่ดูแลในเรื่องการลงทะเบียนรับเบี้ยผู้สูงอายุและพิการ ในจุดนี้


เขียนมาถึงตอนนี้ ก็อยากจะขอแนะนำว่า ใครที่มีคนพิการอยู่ในความดูแล ก็ไปดำเนินการขึ้นทะเบียนทำบัตรคนพิการให้เรียบร้อย และไปขอรับเบี้ยยังชีพเถอะค่ะ มันอาจเป็นจำนวนเงินไม่มาก แต่มันก็เป็นหนึ่งสิทธิโดยชอบธรรมของเราที่จะต้องได้รับนะ ยังทันนะคะ รับถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2558 ที่สำนักงานเขต เทศบาล หรืออบต. ตามสังกัดทะเบียนบ้านของผู้พิการนั่นแหละค่ะ

แปะคลิปที่สร้างแรงบันดาลใจตลอดกาล 

Tuesday, April 21, 2015

สนุกใจไปกับพี่ว้าก ยก 1 : พี่ว้าก ไม่ได้เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี่

ทุกยุคทุกสมัย ส่วนใหญ่เวลามีค่ายแต่ละที รับน้องแต่ละหน ไม่พ้นต้องเจอหน้าแก๊งพี่โหด ที่พูดกันดีๆไม่เป็น เอะอะตะคอก เอะอะตะโกน เอะอะสั่งวิ่ง เอะอะวิดพื้น เอะอะสก๊อตจั๊มพ์ และเอะอะอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งพอถึงวันสุดท้ายหรือถึงช่วงเวลาหนึ่งแก๊งโหดกลุ่มนี้ก็จะเปลี่ยนบุคลิกตัวเอง ราวกับเป็นไบโพล่าร์

เพราะงั้นก่อนจะเข้าสู่วิธีทำตัวเองให้สนุกใจไปกับพี่ว้าก ก็ต้องมารู้จักพี่ว้ากแบบคร่าวๆกันก่อนค่ะ

เครื่องมือแนะนำ:
SWOT Analysis คือ การรู้จัก จุดแข็ง-จุดอ่อน-โอกาส-อุปสรรคของพี่ว้ากกันก่อน

S -> Strength
            จุดแข็งของพี่ว้าก คือคนที่จะมาถึงจุดนี้ได้ต้องผ่านการคัดแล้วคัดอีก ทั้งกายหยาบและกายทิพย์ โดยมีคาแรกเตอร์หลักๆคือ ฟอร์มจัด มั่นหน้า มั่นใจ เด็ดขาด มีไหวพริบ ประสบการณ์สูง แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี มีอาวุโส เพราะฉะนั้นจุดแข็งของคนพวกนี้บอกได้ว่าคะแนนเต็มร้อย จะมีมาตรฐานอยู่ที่ 90 อัพทั้งนั้น จัดเป็นแรร์การ์ดระดับห้าดาว

W -> Weakness
จากข้อ S ข้างบน แสดงให้เห็นว่าสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า พี่ว้าก เป็นบอสที่แทบจะไม่มีจุดอ่อนเลย แต่สิ่งที่อยากให้น้องๆรู้ไว้คือ “พี่ว้ากส่วนใหญ่จะมีจรรยาบรรณเป็นกฎตายตัวว่าจะไม่พ่นคำหยาบหรือโดนตัวน้องอย่างเด็ดขาด” (ขีดเส้นใต้รัวๆ) ดังนั้นจุดอ่อนของพี่ว้ากที่เห็นชัดๆ ก็คือจุดนี้นี่เอง ซึ่งพี่ว้ากมักจะซ่อนให้มิดที่สุด

O -> Opportunity
            โอกาสที่พี่ว้ากจะกำชัยชนะจากน้องๆได้นอกเหนือจากจุดแข็งของตัวเอง คือการสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นใจ โดยอาศัยความไร้เดียงสาและอ่อนด๋อยด้อยประสบการณ์ของน้องๆ ที่แค่โดนตะคอก โดนกดดัน โดนบีบคั้นเรื่องเพื่อนฝูง พวกพ้อง คณะ ความรัก ความสามัคคี ส่วนใหญ่ก็จะแสดงความจ๋อยเป็นหมวยหงิม ไอ้บรรยากาศอึดอัด กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของน้องนี่แหละ ถือเป็นกำไรพี่ว้ากในการเชือดไก่ให้ลิงดูจริงๆ

T -> Threat
ภัยคุกคามหรืออุปสรรคของพี่ว้าก คือ พี่ว้ากต้องคำนึงเสมอว่านี่เป็นเกม/กิจกรรมหนึ่ง ที่อยู่ภายใต้สิ่งที่ชื่อว่าค่าย/การรับน้อง แบกชื่อองค์กร แบกความคาดหวังเพื่อนๆ เพราะฉะนั้นแม้จะโหดสลัดรัชช่าแค่ไหน เมื่อน้องบาดเจ็บได้เลือด โคม่าเมื่อไหร่ ได้เห็นพี่หน้าโหดและทีมงาน ซีดลง ซีดลงแน่ๆ

*** จากทั้งหมดนี้ บอกเลยว่าสำหรับเกม/กิจกรรมประเภทนี้ พี่ว้าก เป็นแค่ผู้ดำเนินรายการ และสร้างเงื่อนไขเท่านั้น เพราะตัวแปรสำคัญที่จะพลิกเกมก็คือ "บรรดาเพื่อน" ร่วมชะตากรรมของเรานั่นเองงงง ***

แวะกินจับเลี้ยงแปปนึงค่ะ เดี๋ยวมาพิมพ์ต่อ

Wednesday, November 26, 2014

ทฤษฎีลายผิว เขาว่ามันบอกศักยภาพในตัวคนได้


เมื่อสักสามสี่ปีก่อนหน้านี้ ได้มีโอกาสเข้าไปนั่งฟังคล้ายๆงานสัมมนาของศูนย์นี้อยู่ครั้งหนึ่ง ว่าด้วยเรื่องของลายผิววิทยากับการค้นหาศักยภาพในตัวบุคคล ก็เห็นเป็นเรื่องใหม่ที่น่าสนใจดี แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก เหตุผลหลักก็คือ ค่าใช้จ่ายกับสิ่งที่ได้ สำหรับเราแล้วดูจะไม่คุ้มค่าสักเท่าไหร่ เปรียบง่ายๆก็เหมือนกับ พนักงานเงินเดือนสองหมื่นแต่เอาเงินเก็บก้อนโตไปซื้อรถยุโรปอย่างหรูเพียงเพื่ออยากจะรู้แค่ว่ามันนั่งดียังไง ดีจริงอย่างที่คนเขาว่ากันไว้หรือเปล่า

แคปจากแฟ้มรีพอร์ทเก๊าเอง


จนกระทั่งเมื่อวันเกิดที่ผ่านมานี้ โชคดีได้ของขวัญมาจากผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเป็น บัตรกำนัลสำหรับเข้ารับบริการวิเคราะห์ฯที่ศูนย์นี้พอดี ขั้นตอนก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร แต่ต้องโทรไปนัดหมายล่วงหน้า ถ้าได้เป็นบัตรกำนัลมาเจ้าหน้าที่ก็จะถามเลขที่ ก็ตอบไปตามคำถามเขา และก็ได้นัดมาเป็นวันที่ 18 ตุลาคม 2557 เวลา 9.00 น.

รูปจาก oknation ค่ะ
ถึงเวลานัดก็เดินทางไปที่ อาคารปัญจภูมิ ชั้น 4 ถนนสาทร อันเป็นที่ตั้งของศูนย์ ที่นี่มีชากาแฟ น้ำเก๊กฮวย น้ำเปล่า ลูกอมฟรีสำหรับผู้เข้ารับบริการและผู้ติดตาม ถ้าอยากกินก็เดินไปชงเอง 


ภาพจากคุณ prakasitcooking ค่ะ

สิ่งที่ต้องนำไปก็มี บัตรกำนัล กับ บัตรประชาชน ยื่นเคาเตอร์ เสร็จปั๊ป ก็กรอกประวัติส่วนตัวนิดหน่อย ชื่อ-นามสกุล สถานที่ทำงาน เคยมีญาติเข้ารับบริการที่นี่มาก่อนหรือไม่ ใดใด จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะเรียกไปอีกจุดหนึ่ง เพื่อพิมพ์นิ้วมือทั้งสิบนิ้ว ฝ่ามือสองข้าง รวมถึงสันมือส่วนอุ้งมือด้านนอกด้วย แล้วก็ไปล้างมือ และกลับมาเคาเตอร์ทำนัดฟังผลวิเคราะห์อีกที ซึ่งขั้นตอนนี้หากมีญาติที่เคยเข้ารับบริการแล้ว เขาจะแนะนำให้ใช้นักวิเคราะห์คนเดียวกับที่วิเคราะห์ให้ญาติเรา และเราสามารถเลือกนักวิเคราะห์เองได้ด้วย ซึ่งต้องรอคิวนานมาก ข้ามปีกันเลยทีเดียว นี่เลยบอกว่าเอาใครก็ได้ ไม่ต้องวันเสาร์-อาทิตย์ก็ได้ ซึ่งกว่าจะได้ก็นานอยู่ดี 

ลายนิ้วมือจากแฟ้มอาชญากรรมค่ะ ตอนพิมพ์ของตัวเองหยิบมือถือถ่ายไม่ได้ เลยเอาอันนี้มาให้ดู ลายนิ้วค่ะ


หลังจากแมทช์วันกันไปมาอยู่สักพัก เราก็ลงตัวค่ะ ได้ข้อสรุปเป็นวันที่ 24 พฤศจิกายน 2557 ที่เวลา 9.00 น. คือ 1 เดือนกับอีก 1 สัปดาห์โดยประมาณหลังจากพิมพ์ลาย กลับบ้านพร้อมถุงกระดาษ 1 ใบ ภายในบรรจุแฟ้มข้อมูล แนะนำเรื่องลายผิววิทยา และทำความเข้าใจเบื้องต้นถึงหลักการในการวิเคราะห์และอธิบายผล ก็เป็นการบ้านให้เรามาศึกษาก่อนจะได้เข้าใจอะไรๆได้ง่ายขึ้น (ซึ่งไม่อ่านก็ไม่เป็นไรเพราะเขาจะอธิบายให้ฟังง่ายๆวันฟังผลอยู่ดี)

บัตรนัดฟังผลของเก๊าเอง


จากนั้นเราก็กลับมาใช้ชีวิตของเราต่อไป ซึ่งพอใกล้ๆจะถึงวันนัด จะมีเจ้าหน้าที่โทรศัพท์มาเตือนอีกทีว่าเราคอนเฟิร์มเป็นวันเดิม ..กับนี่โทรมาถึงสองครั้งสองครา

ภาพเพื่อการโฆษณา //ขโมยชาวบ้านเค้ามาเหมือนกัน

แล้วก็รอจนถึงวันนัด ก็เดินทางไปที่เดิม คราวนี้ไม่ต้องใช้อะไรแล้ว จะติดบัตรนัดไป 1 ใบกับบัตรประชาชนด้วยก็ได้ กันเหนียว ผลักประตูเข้าห้องเดิม กิจกรรมเดิมเป๊ะ คือยังซดกาแฟไม่ทันจะหมด เจ้าหน้าที่ก็มาเชิญไปที่ห้องวิเคราะห์แล้ว ก็เป็นห้องธรรมดา มีเรากับนักวิเคราะห์ แฟ้มการวิเคราะห์ของเรา 1 เล่มภาษาอังกฤษล้วน ไม่หนามาก พร้อมสมุดจดและดินสอ 


ห้องประมาณนี้ค่ะ แต่ทีบ //ภาพจาก bcfurn.com

จากนั้นก็เริ่มอธิบายง่ายๆก่อนว่าลายผิววิทยาคืออะไร สัมพันธ์กับสมองอย่างไร แล้วตามด้วยผลวิเคราะห์ของตัวเรา โดยแบ่งเป็นฝั่งศักยภาพที่เรามี และลักษณะนิสัยที่เราเป็น ซึ่งเมื่อเอาสองอย่างมารวมกัน จะสามารถบอกได้ว่า ตัวเราเหมาะกับงานแบบไหน หรือต้องพัฒนาตัวเองไปในทางไหน ซึ่งนักวิเคราะห์ก็จะย้ำอยู่เสมอในช่วงแรกสำหรับผู้เข้ารับบริการที่เป็นผู้ใหญ่ว่า ให้ตัดประสบการณ์ส่วนตัวและสภาพแวดล้อมที่เจอมาออกให้หมด เพราะผลวิเคราะห์นี้คือ สิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิดเพียวๆ (ซึ่งหากเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 จะอนุญาตให้เฉพาะผู้ปกครองเท่านั้นที่เข้าไปนั่งฟังการวิเคราะห์ ด้วยเหตุผลด้านวุฒิภาวะ และหากอายุต่ำกว่า 10 ปีทางศูนย์แนะนำให้ไม่ต้องพามาด้วยเนื่องจากไม่มีผู้ดูแล) การฟังผลการวิเคราะห์ใช้เวลาประมาณไม่เกิน 1 ชั่วโมงโดยประมาณ ถ้าไม่มีคำถามหรือข้อปรึกษา ก็ทำแบบประเมินผลและกลับบ้านได้เลย ซึ่งนักวิเคราะห์ก็จะให้นามบัตรไว้ หากกลับมาบ้านแล้วอ่านลงละเอียดอีกทีแล้วไม่เข้าใจ ก็สามารถโทรกลับไปปรึกษาได้เช่นกัน

แผ่นนี้คือสาระที่สุดแล้วในประเด็นนี้ค่ะ //สแกนจากแฟ้มเก๊าเอง


- ความเห็นส่วนตัวหลังเข้ารับบริการและความน่าเชื่อถือ - 

  • ผลการวิเคราะห์ให้ความแม่นยำอยู่ช่วง 80-90% เพราะจากการจัดอันดับทักษะด้านศักยภาพของตัวเราแล้ว สิ่งที่ขึ้นอันดับหนึ่งและสองของเราคือ เรื่องของประสาทหู และภาษาศาสตร์ ส่งผลในด้านการฟัง การเรียนภาษา การจับประเด็น การอ่าน การออกเสียง การพูด และความจำ (ซึ่งตรงนี้ถ้าสนิท เคยทำงาน-เรียนด้วยกันก็คงจะพอเดาได้ว่าเราแม่นเรื่องพวกนี้จริงหรือไม่) แน่นอนว่าตอนกรอกประวัติอาชีพ นี่ก็กรอกไปว่าเป็น MD ของบริษัทขายตาชั่ง แต่ทักษะการบริหารกลับเป็นรองสิ่งพวกนี้ ก็พอจะอนุมานได้ว่า ไม่ได้มั่วลงข้อมูลผลวิเคราะห์จากประวัติที่เรากรอกไนะ


  • ถามต่อว่ามันดีอย่างไร สำหรับคนวัยเราที่ได้รู้สิ่งเหล่านี้ ...ตอบว่า ดีในแง่ของการเคลียร์ปมในวัยเด็ก เช่น เราไม่ได้เป็นเด็กที่ขยันเรียนมาแต่ไหนไร แต่เกรดเรียนได้คือ Top 5 ของระดับชั้นมาตลอด (แล้วก็โง่ลงเรื่อยๆ 5555) แม้แต่ตอนจะแอดมิดชั่นเข้ามหาลัย นี่ก็เรียนพิเศษเอาไว้พอเป็นพิธีแค่นั้น ที่เหลืออาศัยยืมชีทเพื่อนมาสรุป ให้เพื่อนอัดเทปมาฟัง แล้วก็เข้าไปนั่งฟังครูสอนทุกคาบ ก็เอาตัวรอดมาได้ จนมาบัดนี้ ก็ตรงกับที่เขาวิเคราะห์สรุปมาได้ว่า วิธีการเรียนรู้ของเราคือ เรียนรู้จากการฟัง (เพราะประสาทหูมันขึ้นมาอันดับ 1)


  • เลยอดคิดไม่ได้ว่า ถ้ามาทำตั้งแต่เด็กในช่วงวัยกำลังเรียนรู้ ก็คงดีไม่น้อย อย่างน้อยตอนเลือกสายม.4 จะได้เลือกศิลป์-ภาษาไปเลย ไม่ต้องมานั่งเป็นเด็กศิลป์-คำนวณโง่เลขอย่างทุกวันนี้ และอาจได้ภาษาที่ 3 4 5 ตามมาด้วย (เพราะคงจะขลุกอยู่กับมัน)

  • ที่ดีอีกอย่างคือ นักวิเคราะห์มีการ “เตือน” เราด้วยถึงข้อกังวลของเขาเกี่ยวกับเราที่มันแสดงออกให้เห็นทางลายผิว คือ แม้เราจะเด่นมากในเรื่องของการใช้คำ การพูด การจับประเด็น แต่ลายผิวเรามันเป็น Reverse อธิบายง่ายๆคือ มักจะมีการคิดแปลก พูดแปลก ใช้คำแปลก จนบางครั้งไปขัดแย้งกับคนอื่นได้ หรืออาจเข้าใจอะไรผิดได้ง่ายๆ เขาเลยเตือนให้เราหมั่นตรวจสอบความเข้าใจกับฝ่ายตรงข้ามและพยายามประนีประนอมเข้าไว้จะดีกว่า (ซึ่งก็พยายามทำอยู่ แต่ค่อนข้างยาก)


สรุปคือ ...

การพิมพ์ลายผิวเพื่อวิเคราะห์ศักยภาพและนิสัย มันก็เป็นอีกศาสตร์หนึ่งที่จะเลือก เชื่อ หรือ ไม่เชื่อ ก็ได้ ซึ่งถามว่าจะแนะนำให้คนมาใช้บริการมั้ย ก็บอกตรงนี้เลยว่า ..

สำหรับคนที่อยากจะรู้ตัวเอง อยากพิสูจน์ ..
”ถ้ามีกำลังทรัพย์เหลือเฟือ ก็ลองเถอะค่ะ นอกจากเสียเงินกับเวลาก็ไม่มีอะไรเสียหาย แล้วมาแชร์กัน ว่ามันเป็นอย่างที่เราเขียนจริงมั้ย ..แต่ถ้ไม่มีทรัพย์เหลือเฟือแล้วเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง อย่าเสียเวลาเสียตังค์มาเลยค่ะ เก็บตังค์ไว้ทำอย่างอื่นที่อยากทำดีกว่า”

สำหรับคุณพ่อคุณแม่...
“ถ้าพอมีกำลังทรัพย์บ้างแม้จะไม่เหลือเฟือ ก็เจียดเงินมาลองเถอะค่ะ อย่างน้อยก็ได้ทิศทางบางอย่างเป็นช้อยส์ให้ลูกเลือกว่าลูกชอบด้านไหน พ่อแม่จะได้ส่งเสริมให้ถูก ดนตรี กีฬา วิชาการ ภาษาที่ 3-4-5 เน้นไปสักทาง รุ่งกว่าจับฉ่ายแน่นอนค่ะ”

 เพิ่มเติมความเห็นต่างจากสังคมคุณภาพด้วยค่ะ แน่นอนว่าต้องเป็นพันทิปดอทคอม


ก่อนจบ ขอนอกเรื่องนิดนึงจากประสบการณ์ตัวเองคือ ..การปล่อยให้ลูกเลือกเองว่าอยากเรียนหรืออยากเป็นอะไร คือถูกค่ะเป็นสิ่งที่ดี แต่โดยวิธีการมีหลายคนเข้าใจผิด คือเด็กช่วงพัฒนาการเร็วจะไม่มีความมุมานะหรือความอดทนเหมือนผู้ใหญ่ เพราะงั้นจงให้ช้อยส์เขาเลือก สร้างแรงบันดาลใจ และเป็นกำลังใจให้เขาอดทนเรียนหรือฝึกฝนต่อไปให้ตลอดรอดฝั่งค่ะ เพราะนี่จำได้ว่าตอนเด็กๆเคยเรียนอิเล็กโทนอยู่ (ตอนนั้นจนมากไม่มีตังค์เรียนเปียโน, ตอนนี้ก็ยังไม่มี) แล้วเรียนดีมาก ทุกคนชื่นชม แต่เบื่อค่ะ คุณแม่ก็ไม่อยากขัดใจลูก อ้ะ! เลิกก็เลิก สบ๊ายยย ต(ความแตกเมื่อไม่นานมานี้ เพราะไปโวยวายกับแม่ แล้วแม่สวนโครมให้บอกเอ้า! ก็บอกไม่อยากเรียนเองนี่) อีนี่ก็เลยวนไปทุกกิจกรรมเลยค่ะ ทำให้สิ่งที่เป็นตอนนี้คือ เป็นแทบทุกอย่างนะ แต่ไม่ลึกสักอย่าง เป็ดมาก


- รายละเอียดอื่นๆเพิ่มเติม ถามมาหลังไมค์ได้นะคะ อธิบายในนี้สิบแปดหน้าก็ไม่จบ มันยาวค่ะ -